เคล็ดลับเรียนเก่ง ของเด็กมหาลัย
ชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการเรียน ม.ปลาย เริ่มตั้งแต่การกำหนดเวลาเรียนเอง (การแย่งกันลงทะเบียน ) การกะเวลาเข้าเรียนเอง (กรณีวิชานั้นๆไม่มีคะแนนเข้าห้อง) และการที่ต้องแบ่งเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ (แล้วแต่ใครจะรวมเวลาเที่ยวเล่นลงไปด้วยก็แล้วแต่นะจ้ะ ^-^) สรุปแล้วว่า freedom กว่าเดิมแยะ และความ freedom นี่แหละ ทำให้นักศึกษาหลายต่อหลายคน จบชีวิต(ความเป็นนักศึกษา คณะนั้นๆ) ไปหลายต่อหลายคน (ไทด์ นั่นเองล่ะพี่น้องค้าบ^o^) พี่เองก็เจอกะตัวมาแล้ว สนุกไปนิด ชะล่าใจไปหน่อย คะแนนออกมา ตกมีนแทบทุกตัว T-T แทบแย่เหมือนกันกว่าจะตั้งหลักได้
ว่าแล้วก็มีเทคนิคดีๆมาฝาก เผื่อน้องๆกะเพื่อนๆจะเอาไปใช้นะจ้ะ พี่ลองดูแล้วเกรด 3 up ทุกเทอมเลย (ไม่ได้โม้นา ^o^)
1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนคะ.เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือน ติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือคะ. เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้คะ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ ยากคะ!. (สำหรับนักเที่ยวนอนดึกทั้งหลาย ลดดีกรีลงมาหน่อย เที่ยวเฉพาะวันเสาร์ไม่ก็วันที่ไม่มีเรียนเอาดีกว่านะจ้ะ)
ว่าแล้วก็มีเทคนิคดีๆมาฝาก เผื่อน้องๆกะเพื่อนๆจะเอาไปใช้นะจ้ะ พี่ลองดูแล้วเกรด 3 up ทุกเทอมเลย (ไม่ได้โม้นา ^o^)
1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนคะ.เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือน ติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือคะ. เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้คะ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ ยากคะ!. (สำหรับนักเที่ยวนอนดึกทั้งหลาย ลดดีกรีลงมาหน่อย เที่ยวเฉพาะวันเสาร์ไม่ก็วันที่ไม่มีเรียนเอาดีกว่านะจ้ะ)
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ คะเช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอคะ. แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องคะ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็ เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน (อาจฟังดูยาก แต่ถ้าอ่านทุดวันเป็นกิจวัตรก็จะเกิดความเคยชิน ไม่หนักเลยค่ะ) เว้นแต่ถ้าไม่ได้ใกล้ช่วงสอบมากนัก จะพักผ่อนวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ว่ากันค่ะ
3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรคะอย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยก. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันนึง ๆไม่ต้องถึงกับมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ หรอกนะคะ. สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร ก็พอค่ะ
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ค่ะ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดีให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ค่ะ.
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาค่ะ. ต้องพอรู้เกี่ยวกับแนวการสอนที่อาจารย์วิชานั้นๆสอน รู้ว่าอาจารย์ชอบเน้นจุดไหน ย้ำเนื้อหาตรงไหนบ่อยๆนั่นแหละค่ะแนวข้อสอบทั้งนั้น!
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับ แรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วค่ะ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลค่ะ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยค่ะ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัดมา(อย่าคิดว่าเรียนมหาลัยแล้วไม่ต้องทำแบบฝึกหัดนะคะ) ทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับ แรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วค่ะ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลค่ะ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยค่ะ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัดมา(อย่าคิดว่าเรียนมหาลัยแล้วไม่ต้องทำแบบฝึกหัดนะคะ) ทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .
สำคัญคือความตั้งใจนะค่ะ. ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วค่ะ. ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือแคลคูลัส 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกค่ะ. จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยค่ะ
8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้อง มีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีค่ะ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงค่ะ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัฒนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ค่ะ. ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้ค่ะ. - ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์นึกนะคะ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกค่ะ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะคะ. ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย คือกระบวนการสอบแข่งขันค่ะ. ตรงนี้สำคัญมาก เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ให้ลองลงสนามสอบอย่าง TOFEL TOEIC สอบชิงทุนไปเลยหลายๆสนาม เป็นการวัดวิทยายุทธ ของเราว่าเทียบกับชาวโลกแล้ว เราอยู่ระดับไหน จะได้เอาไปพัฒนาตัวเองได้ต่อไปค่ะ
เป็นเคล็ดลับที่ดีมากๆค่ะ หนูจะทำตามเอ่อ พยายามทำตามอย่างดีที่สุด^^
ตอบลบขอบคุณ พี่มากๆ เลยนะคะ :))