วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552
สมุนไพร รักษาโรคกระเพาะอาหาร
มีโรคชนิดหนึ่งที่คนเป็นกันมากและรักษาไม่รู้จักหาย เป็นแล้วทรมาน กินก็ปวดท้อง ไม่กินก็ปวดท้อง ถ้าอาการหนักก็ถึงขั้นถ่ายเป็นเลือด หน้าซีดหน้าเซียว อาหารแต่ละมื้อก็กินแต่รสจืดชืด จะกินให้แซบ ๆ ก็กินกับเขาไม่ได้ ไปหาหมอก็ได้แต่ยาน้ำสีขาว ๆ มากินเคลือบกระเพาะ และยาขับลม ไปหาหมอสมุนไพรก็อาจได้ขมิ้นชัน หรือเปล้าน้อย หรือกล้วยดิบตากแห้งบดผงมาชงกิน ถ้าเป็นไม่มากก็อาจหาย หรือถ้าตั้งใจกินก็อาจหาย แต่ปัญหาของคนป่วยส่วนมากคือขี้เกียจกินยา หรือลืมกินยา นี่แหละที่ทำให้ป่วยเรื้อรังกันเป็นส่วนมาก แล้วไอ้เจ้าโรคกระเพาะนี่มันต้องขยันกินยาซะด้วยซี จะกินบ้างไม่กินบ้างก็ไม่ได้ ลองคิดดูเถอะครับ แผลที่เป็นภายนอกทายาทุกวันยังหายช้า และเราก็คอยระวังไม่ให้บาดแผลสกปรก แต่แผลที่ถูกสารพัดอาหารรดราดลงไปทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ ครั้ง นอกจากนั้นก็ยังมีน้ำกรดย่อยอาหารหลั่งออกมารดราดอยู่วันละหลาย ๆ ครั้งเช่นกัน นึกดูเถอะว่ามันสาหัสขนาดไหน และมันจะหายง่าย ๆ ได้อย่างไร หรือด้วยยาสมุนไพรวิเศษขนานใด
สมุนไพรที่สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารมีชนิดในเมืองไทย เพียงแต่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ ไทยวิจัยกันอย่างจริงจัง แต่ชาวบ้านหรือหมอพื้นบ้านบางคนรู้สรรพคุณของมันดี และใช้กันมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว เช่นสาบเสือ คนเหนือเรียกหญ้าแมงวาย คนอีสานเรียกหมาหลง เวลาขึ้นตรงไหนก็แพร่หลายจนเป็นต้นเป็นกอติด ๆ กันหนาแน่น หมาเข้าไปยังหาทางออกไม่ได้ จึงเรียกหมาหลง ส่วนที่เรียกแมงวายก็เพราะมีสารที่กำจัดแมลงได้ สังเกตดูเถอะ ไม่มีแมลงตัวไหนที่กินใบไม้ชนิดนี้ ส่วนชื่อสาบเสือนั้นเกิดจากกลิ่นของใบ แต่เคยเข้าใกล้เสือก็ไม่เห็นว่ามันจะเหมือนกลิ่นเสือตรงไหน ฟาร์มผึ้งชอบสาบเสือมาก หากพบดงสาบเสืออยู่ตรงไหนเขาจะนำรังผึ้งไปวางไว้ในบริเวณนั้น จึงได้น้ำผึ้งกลิ่นดอกสาบเสือ ซึ่งไม่เหม็นเหมือนใบของมัน
สาบเสือมีสรรพคุณในการรักษาแผลและห้ามเลือดได้ดีมาก ใครโดนมีดบาดจนเลือดไหล ลองขยี้ใบสาบเสือโปะที่บาดแผลดูเถอะ เลือดจะหยุดทันที และแผลจะแห้งหายเร็ววัน เพราะเหตุนี้จึงมีชาวบ้านบางคนทดลองเอาใบสาบเสือมาคั้นเอาแต่น้ำดื่มกินลงไป แผลในกระเพาะอาหารก็หายเร็ววันเช่นกัน แต่ก็ต้องทนกลิ่นฉุนของมัน และคงไม่ได้ดื่มครั้งเดียวหรอกครับ ทางที่ดีคั้นเอาน้ำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ ดื่มก่อนอาหารวันละ 3-4 ครั้ง คงหายเร็ววันแน่นอน
สมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ให้ผลเป็นเลิศในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารคือ กลิ้งกลางดง ทางเหนือเรียกมะหำเบ้า เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันขึ้นต้นไม้ใหญ่ แต่เป็นไม้ล้มลุก เจริญงอกงามในฤดูฝน พอถึงหน้าแล้งเถาและใบก็โทรมแห้งเหลือแต่หัวอยู่ใต้ดิน ถึงหน้าฝนก็งอกเถาและใบขึ้นมาอีก มีใบโตสวยงามลักษณะแบบใบโพธิ์ มีร่องใบลึกชัด ใบโตขนาดฝ่ามือกลาง ติดผลที่เถา ผลโตขนาดลูกมะตูมหรือใหญ่กว่านั้นก็มีมาก ผลโตเต็มที่และหลุดร่วงประมาณมกราคม-มีนาคม เป็นไม้ขึ้นตามป่าริมชายเขา เมื่อผลหลุดหล่นก็กลิ้งลงไป จึงเรียกกลิ้งกลางดง พอถึงเดือน
พฤษภาคม-มิถุนายน ผลว่านนี้จะงอกเถาหมด แม้เก็บไว้ในถุงฟางก็ยังงอกเถาอยู่ในถุงได้ ปลูกง่ายจริง ๆ เป็นว่านยาชนิดหนึ่งที่นักนิยมว่านชอบเล่น เชื่อกันว่าใครได้กินผลว่านนี้จะทำให้คงกระพัน และมีพละกำลังมาก วิธีใช้ทำยา หมอแผนโบราณที่รู้สูตรยานี้จะนำผลกลิ้งกลางดงมาบดเป็นผงผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ แล้วผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน กินก่อนอาหารทุกมื้อ ไม่ถึงเดือนหรอกครับ โรคแผลในกระเพาะอาหารจะทุเลาหรือหายสนิท บางคนอาจกินนานกว่านั้น ส่วนหมอเมืองนำผงยาที่ผสมแล้วบรรจุแคปซูล ขวดหนึ่งมี 140 แคปซูล (300 บาท) รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล ก่อนอาหาร 3 เวลา นอกจากรักษาแผลในพระเพาะอาหารแล้วยังเป็นยาบำรุงร่างกาย ทำให้เรี่ยวแรงดี มีภูมิต้านทานโรคได้ดี ทำให้การหมุนเวียนโลหิตดี ผิวพรรณดี
ภาพประกอบที่อยู่ด้านบนไม่ใช่กลิ้งกลางดงนะครับ แต่เป็นบรเพ็ดพุงช้าง บางท่านเรียกว่ากลิ้งกลางดง
http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=4&Id=528232
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น