วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การขับรถอย่างถูกวิธี : การอนุรักษ์พลังงาน

การขับรถอย่างถูกวิธี : การอนุรักษ์พลังงาน
การขับรถอย่างถูกวิธี

การขับรถอย่างถูกวิธีจะมีส่วนช่วยให้เรา สามารถช่วยอนุรักษ์พลังงาน ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หากเราปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้

1. ไม่ควรเร่งเครื่องก่อนออกรถ การเร่งเครื่องให้มีความเร็วรอบสูง จะทำให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็น เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูง อัตราความต้องการน้ำมัน เชื้อเพลิงจะสูงตามด้วย เมื่อออกรถเราไม่จำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ โดยทั่วไปความเร้วรอบที่เหมาะสม สำหรับการออกรถประมาณ 1100-1250 รอบต่อนาที
2. ไม่ควรติดเครื่องขณะจอดรถคอย



กรณีที่จอดรถคอยเป็นเวลานาน ควรดับเครื่องยนต์เพราะจะทำให้ สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเปล่าประโยชน์ การติดเครื่องจอดอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 5 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์ 0.3 ลิตร
3. ขับรถที่ความเร็วเหมาะสม


การขับรถด้วยความเร็วสูง จะต้องใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงตาม ดังนั้นเราควรควบคุม ความเร็วในอัตราที่เหมาะสม คือ ประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากขับที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะใช้น้ำมันมากขึ้น ประมาณร้อยละ 17

4. การใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วรอบ ไม่ควรใช้เกียร์ต่ำ(เกียร์ 1,2) ที่ความเร็วรอบสูง หรือ ใช้เกียร์สูง (เกียร์ 3,4,5) ที่ความเร็วรอบต่ำ จะมีผลทำให้กำลังเครื่องตก และจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ

5. การเปิดเครื่องปรับอากาศ ในการเปิดเครื่องปรับอากาศ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ประมาณร้อยละ 25 ดังนั้นถ้าหากเราใช้เครื่องปรับอากาศตามความจำเป็น และไม่ปรับให้เย็นมากเกินไป จะสามารถลดการสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างมาก

6. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป



กรณีที่เราบรรทุกน้ำหนักเกินเพียง 50 กิโลกรัม จะมีผลทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 ลิตร สั้นลง 1 กิโลเมตร ดังนั้นจึงควรสำรวจในรถหากมีสิ่งของที่ไม่จำเป็นควรนำออก


7. เติมลมยางให้เหมาะสม

ตรวจเช็คและเติมลมยาง ให้เหมาะสมกับขนาดของรถยนต์ หากลมยางแข้งเกินไป จะทำให้ยางแตก และขับขี่ไม่นุ่มนวล ในขณะเดียวกันถ้าลมยางอ่อนเกินไป จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง มากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรเติมลมยางตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด จากผู้ผลิต หากความดันลมยางต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดทุกๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะทำให้สิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2

8. ตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด การตรวจเช็ครถยนต์ตามเวลาที่กำหนด เป็นการบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ของรถยนต์ไม่ให้สึกหรอ และสามารถใช้งานต่อได้อย่างปลอดภัย และไม่เปลืองน้ำมัน

9. การตกแต่งรถ การตกแต่งรถบางอย่าง เช่น การขยายหน้ายางล้อ ให้ใหญ่กว่ามาตรฐานเดิม จะเป็นการเพิ่มพื้นที่การรับน้ำหนักของรถ เมื่อต้องเพิ่มอัตราเร่ง จะทำให้เครื่องยนต์ ใช้ความเร็วรอบสูงกว่าปกติ เป็นเหตุให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
http://blog.eduzones.com/tenny/3953

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์



การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์
เมื่อเร็วๆนี้ พอลล่า แร็ดคลิฟฟ์ สาวปอดเหล็กผู้ครองสถิติมาราธอนโลกและรั้งตำแหน่งแชมป์โลกคนปัจจุบัน สร้างความฮือฮาให้กับวงการกรีฑาโลกด้วยการประกาศเดินหน้าแข่งขันต่อไปถึงแม้ว่าในขณะนี้เธอกำลังตั้งครรภ์แล้วก็ตาม โดยแร็ดคลิฟฟ์กล่าวว่าจะลงแข่งขันในรายการเล็กๆเท่านั้น

เพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกน้อยในครรภ์ของเธอ ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเธอยังไม่แขวนลู่ชั่วคราวแล้วจะมีวิธีการออกกำลังกายหรือวิ่งอย่างไรให้ปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์ อย่ามัวเสียเวลามาดูเฉลยกันเลยดีกว่า

โดยกรณีของ พอลล่า แร็ดคลิฟฟ์ ซึ่งเป็นนักกีฬาอาชีพนั้นจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากสูตินารีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายมาคอยให้คำแนะนำตลอดทัวร์นาเมนต์ที่ลงแข่งขันและสิ่งสำคัญที่เธอจะต้องระวังมากเป็นพิเศษคือการจำกัดแรงวิ่งของเธอ ที่ทำได้แค่เพียงวิ่งเหยาะๆเบาะๆเท่านั้น เพราะหากมากไปกว่านี้อันตรายร้อยเปอร์เซนต์

สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสรีระของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้หญิงมีน้ำหนักตัวมากขึ้น ระบบการทำงานของหัวใจ ปอด ก็หนักขึ้นเพราะเลือดต้องสูบฉีดโลหิตหล่อเลี้ยงทั้งคุณแม่และคุณลูกนั่นเอง

หลักการสำคัญของการออกกำลังกายในขณะตั้งครรภ์ได้แก่การออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่หักโหม โดยเลือกการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การขี่จักรยานอยู่กับที่ การออกกำลังกายประกอบกิจกรรมบนพื้น หรือกายบริหารเป็นสิ่งที่แนะนำให้กระทำ เพื่อลดและหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่จะทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้น เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ถึงขั้นส่งผลให้พิการหรือเสียชีวิตได้ โดยควรดื่มน้ำทุก 15-20 นาทีในขณะออกกำลังกาย เพื่อช่วยระบาย ความร้อนที่สะสมในร่างกายออกไป

ทั้งนี้การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ถึงแนวทางและข้อปฎิบัติที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล พร้อมกันนี้ผู้เชี่ยวชาญยังย้ำความมั่นใจถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายในสตรีมีครรภ์ว่า นอกจากจะช่วยสร้างสุขภาพที่แข็งแรง ทำให้จิตใจแจ่มใส ร่าเริงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยลดความเครียดของคุณแม่และทำให้นอนหลับสบายมากขึ้นอีกด้วย

http://women.sanook.com/mom-baby/pregnancy/pregnancy_48519.php

การออกกำลังกายในผู้สูงอายุ


การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ในบุคคลทั่วไปทุกเพศทุกวัย แต่มีบางภาวะที่ต้องพิจารณาให้ละเอียดก่อนเริ่มการออกกำลังกาย เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นต้น เพราะอาจเกิดปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนตามมาได้การออกกำลังกายแบ่งกว้างได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. การออกกำลังกายเฉพาะส่วน เช่น การบริหารข้อไหล่ในผู้ป่วยโรคไหล่ติด การบริหารกล้ามเนื้อหลังในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง และการบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า ในกรณีที่มีข้อเข่าเสื่อมเป็นต้น
2. การออกกำลังกายโดยทั่วไป ซึ่งนอกจากจะมีผลทำให้จิตใจแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง และมีผลดีโดยอ้อมทำให้ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ดีขึ้น ลดอุบัติการณ์การลื่นล้ม ซึ่งเป็นสาเหตุของกระดูกหัก รวมทั้งการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงอื่น เช่น ภาวะปอดบวม ภาวะติดเชื้อ เป็นต้น
การออกกำลังกายในผู้สูงอายุ ควรเป็นการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆได้แก่ กล้ามเนื้อแขนและขาไปพร้อมๆกัน โดยที่กล้ามเนื้อมีการเกร็งตัวและคลายตัวสลับกันและมีความต่อเนื่องของการทำงานของกล้ามเนื้อในระยะเวลาที่กำหนด เช่น การวิ่งเหยาะๆ ในกรณีที่ไม่มี ข้อเข่าเสื่อม การเดิน การเต้นแอโรบิก หรือการรำมวยจีน เป็นต้น ส่วนกีฬาชนิดต่างๆ เช่น เทนนิส กอล์ฟ แบดมินตัน มักมีการหยุดยืนพักสลับระหว่างที่เล่นกีฬาดังกล่าว จึงไม่ให้ผลดีเท่าที่ควรสำหรับการทำงานของปอดและระบบหัวใจและหลอดเลือด แม้ว่าจะมีประโยขน์ในแง่สันทนาการก็ตามในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการออกกำลังกายโดยทั่วไป โดยเน้นถึงปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกชนิดและวิธีการที่เหมาะสมในผู้สูงอายุ ตลอดจนภาวะที่ควรระวังในการออกกำลังกายด้วย
ปัจจัยด้านผู้สูงอายุ
- อายุ กรณีผู้สูงอายุที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน แนะนำให้เริ่มจากการเดิน แล้วค่อยปรับเปลี่ยนต่อไปอย่างช้าๆ แต่ถ้าผู้สูงอายุออกกำลังกายอย่างสม่ำ เสมออยู่แล้ว สามารถออกกำลังกายได้เช่นเดิมแต่ควรเพิ่มความระมัดระวัง มากขึ้นถ้ามีโรคประจำตัว
- เพศ โดยทั่วไปเพศหญิงจะมีความสามารถในการออกกำลังกายน้อยกว่า เพศชาย เพราะมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าและความเข้มข้นของเลือดก็ต่ำกว่าด้วย
- น้ำหนัก มักพบโรคหัวใจได้บ่อยในคนอ้วน ดังนั้นการออกกำลังกายต่างๆ ในผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักตัวมากจึงควรตรวจให้แน่ใจก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็น ชนิดที่ใช้ความรุนแรงสูง
- การทรงตัวและการเดิน ถ้ามีปัญหาในเรื่องนี้ควรระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะ การออกกำลังกายที่มีการเดินหรือวิ่งร่วมด้วย เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- โรคประจำตัว และยาที่รับประทานเป็นประจำ ยาบางตัวมีผลลดระดับน้ำตาล ในเลือด อาจทำให้ผู้สูงอายุเป็นลมจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำขณะออกกำลัง กายได้ หรือยากล่อมประสาทสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือมีอาการเครียด อาจทำให้เกิดอาการง่วงนอน จึงควรเพิ่มความระมัดระวังขณะออกกำลังกาย มากขึ้นปัจจัยด้านการออกกำลังกาย
- ระยะเวลา
- ความถี่
- ความรุนแรง โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงการออกกำลังกายมักนึกถึงประโยชน์เพื่อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นการออกกำลังกายชีพจรเต้นอยู่ใน พิสัยที่เหมาะสมคือ 70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด (อัตราการเต้นหัวใจสูงสุด = 220- อายุ(ปี) ) โดยที่เมื่อเริ่มต้นออกกำลังกาย ให้อัตราการเต้นหัวใจเป็น 50% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด แล้วค่อยๆ เพิ่ม ความรุนแรงของการออกกำลังกายในวัยต่อๆ ไปจนสามารถออกกำลังกาย โดยที่ชีพจรเป็น 70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดเป็นเวลาติดต่อกัน 20-30 นาทีในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติพบว่า บางครั้งผู้สูงอายุที่มีโรค ประจำตัวบางอย่างไม่สามารถออกกำลังกายต่อเนื่องกันได้นานถึง 20-30นาที อาจอนุโลมให้ออกกำลังกายสลับพักรวมๆ กันในแต่ละครั้งได้
ปัจจัยภายนอกอื่นๆควรออกกำลังกายในสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ควรเดินหรือ วิ่งในบริเวณที่มีพื้นผิวขรุขระเพราะจะทำให้มีอาการปวดข้อเท้าได้ง่าย รวม ทั้งเสี่ยงต่อการล้มด้วย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อน หรือ อบอ้าว และเลือกเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมคือ ใส่สบาย ถ่ายเทความร้อนได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย เป็นต้น

การออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล

การออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล

การลดน้ำหนักที่ได้ผลนั้น นอกจากเราจะทำการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยทำให้น้ำหนักลดลงได้ มากขึ้น เพราะร่างกายจะเผาผลาญไขมันทีสะสมให้เกิดเป็นพลังงาน ช่วยลดเนื้อเยื่อไขมัน และเพิ่มความแข็งแรงสำหรับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการออก กำลังกาย โดยการวิ่ง การเดินเร็ว จะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับทุกคน แต่ก็ควรทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 20-30 นาที และไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สำหรับบางคนอาจจะคิดว่า ' ไม่มีเวลา ทำยังไงดี ! ' ดังนั้นจึงจะนำเสนอบทความเรื่อง การออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ต่อการลดน้ำหนักให้ได้ผล ให้ทุกท่านปรับใช้ตามความเหมาะสมนะครับ
เหตุผลของการออกกำลังกายให้มากขึ้นกว่าปกติ ในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนัก มีดังนี้
1. การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรุ้สึกดีขึ้น
2. การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และทำให้ความหิวน้อยลง
3. การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการชดเชยพลังงานที่เกิดขึ้น ในขณะที่น้ำหนักลดลง เพราะโดยทั่วไปอัตราการเผาผลาญจะลดลงเมื่อน้ำหนักลด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงชดเชยผลการตอบสนองของร่างกายดังกล่าว น้ำหนักจึงได้ลดลงมากขึ้น
4. ถ้าลดน้ำหนัก โดยวิธีอื่นๆ เช่น ยา หรือ การควบคุมอาหาร จะทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย จึงต้องออกกำลังกายเพือช่วยป้องกันมวลกล้ามเนื้อดังกล่าว
5. การออกกำลังกายทำให้คลายเครียด ซึ่งพบเสมอว่า ในบางคนที่มีอารมณ์เครียด โกรธ จะหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ ซึ่งการออกกำลังกาย จะช่วยลดสถานการณ์ดังกล่าวได้
6. การออกกำลังกายทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ทำให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในหลายสิ่งที่ต้องการ และรู้สึกดีต่อตนเอง
แนวทางการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ในชีวิตประจำวันง่ายๆ
- ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ ในการทำงานแต่ละวัน
- เมื่อเครียด หรือว่างจากการทำงาน ควรออกไปเดินเล่น หรือเลือกรับประทานอาหารกลางวันที่ต้องเดินไปกลับ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 นาที
- ขี่จักรยานไปทำงาน ถ้าที่พักและที่ทำงานไม่ไกลนัก หรือเลือกเดินไกลๆ จากที่ทำงาน ไปยังลานจอดรถ หรือป้ายรถเมล์
- มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว จะยังช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะโปรแกรมการท่องไพร เดินป่า เที่ยวน้ำตก
- เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมกีฬาต่างๆ เช่น ชมรมลีลาศ ชมรมเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ
- หาเวลาว่างก่อนรับประทานอาหารเย็น พาสมาชิกในครอบครัวเดินเล่น หรือพาสุนับวิ่งออกกำลังกาย ( สำหรับท่านที่รักสุนัข อาจจะเลือกสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการการออกกำลังกาย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งตัวท่านและลูกสุนัขของท่านเอง)
- อย่าพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหมในครั้งเดียว ควรจะค่อยๆ เพิ่มเวลาและเปลี่ยนชนิดของกีฬาที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่ทำให้เกิดแรงตึงกับข้อ หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป ซึ่งจะทำให้ท่านท้อใจในการออกกำลังกายครั้งต่อๆ ไปได้ขอยกหัวข้อบรรยาย ของ พ.อ.หญิง รศ.พ.ญ.พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้อำนวยการเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า ' การลดน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลงไป 2.5 กับ 1.7ทำให้หัวใจบีบตัวด้วยแรงต่อต้านที่น้อยลง หัวใจทำงานเบาลง ถ้าลดน้ำหนักเป็นปกติ ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง อาจลดยาความดันหรือเลิกกินยาลดความดันซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาโรคโดยพบว่า ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อายุยืน 3-4 เดือน ถ้าลด 10 กิโลกรัม อายุขัยจะยาวขึ้น ร้อยละ 35 คนที่เป็นเบาหวาน ลดน้ำหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นมาก ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ลด 1 กิโลกรัม คอเลสเตอรอลลด 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอร์ไรด์ลด 1.7 คอเลสเตอรอลตัวร้ายลด 0.77 ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด' ดังนั้นถ้าไม่อยากพึ่งยาลดน้ำหนักเราควรจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามอย่าขี้เกียจ แล้วอ้างคำว่า ' ไม่มีเวลา' สำหรับสุขภาพทีดีของเราเลยนะครับ
แหล่งที่มา : samunpai.com

ปลูกต้นไม้ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้จริงหรือ?


ปลูกต้นไม้ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้จริงหรือ?จริงหรือไม่
ที่การปลูกต้นไม้สามารถลดระดับความสูงของน้ำทะเล การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก และการลดระดับความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนได้จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ กล่าวว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ปลูกต้นไม้ ซึ่งการปลูกป่าไม้ในบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรและบริเวณขั้วโลกนั้นมีผลทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นแต่การปลูกต้นไม้ในเขตป่าร้อนชื้นนั้นจะสามารถชะลอการเกิดภาวะโลกร้อนได้ทีมนักวิจัยจากLawrence Livermore NationalLaboratoryได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบของสภาวะของโลกและวัฏจักรของคาร์บอนจากการตัดไม้ทำลายป่าเป็นบริเวณกว้างจากแบบจำลองสามมิติในการศึกษาช่วงแรก พบว่าบริเวณที่เป็นป่ามีผลต่อการเพิ่มอุณหภูมิสะสมของโลdป่าไม้มีผลกระทบต่อสภาวะของโลกใน 3 ทาง คือ อย่างแรก การดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ อย่างที่สอง การปล่อยไอน้ำสู่บรรยากาศและการเพิ่มความชื้น และอย่างสุดท้าย คือการปกคลุมพื้นดินจากแสงแดด ซึ่งก็เป็นการช่วยลดความร้อนของโลกได้เช่นกัน แต่ผลกระทบอย่างแรกเท่านั้นที่นับว่าเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนที่ได้มาจากการปลูกป่าปลูกต้นไม้ผลการศึกษาชี้ว่า ป่าในเขตร้อนชื้นนั้นมีประโยชน์ต่อสาภวะโลกร้อนนี้มาก เนื่องมาจากการดูดซึมคาร์บอนจากบรรยากาศและเพิ่มปริมาณเมฆ หรือความชื้น ซึ่งช่วยในการลดอุณหภูมิของโลกได้เป็นอย่างดีแต่ในทางตรงกันข้าม ผลการทำนายในปีค.ศ. 2100เขตป่าไม้ในบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรและบริเวณขั้วโลกจะทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 10 องศาฟาเรนไฮต์ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่มีป่าไม้บริเวณนี้ ทีมนักวิจัยได้ให้เหตุผลว่าการปกคลุมพื้นดินของป่าไม้ในบริเวณขั้วโลกมีผลต่อการดูดซับแสงแดดจากท้องฟ้าได้มากขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มอุณหภูมิของผิวโลก และก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้เร็วขึ้นนั่นเองจากผลการศึกษาดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า การอนุรักษ์ รักษาป่าไม้ทั่วโลกอาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการชะลอการเกิดสภาวะโลกร้อนแต่วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือและหลีกเลี่ยงกับสภาวะนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการด้านพลังงาน จากพลังงานถ่านหินและเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆจากการเผาไหม้ มาเป็นพลังงานทดแทนหรือพลังงานประเภทใหม่ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ อย่างเช่น ป่าไม้ ให้คงอยู่เพื่อสร้างความสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมบนโลกนี้

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีการสมัคร Blogger

วิธีการสมัคร Blogger


ขั้นตอนการสมัครใช้บริการฟรีบล็อกที่ http://www.blogger.com
เมื่อคุณเข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.blogger.com/ คุณก็จะพบกับหน้าแรกหน้าตาแบบนี้ครับ



ผู้ให้บริการเข้าว่าไว้ ว่าคุณสามารถสร้างเว็บบล็อกได้ง่าย ๆ ภายใน 3 ขั้นตอนเท่านั้นครับและเขาอธิบายทุกขั้นทุกตอนเป็นภาษาไทย (หมู ๆ เลยครับแบบนี้)เมื่อคุณพร้อมแล้วคุณก็คลิกที่ “สร้างบล็อกของคุณทันที” ได้เลยครับ
เข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 แล้วนะครับให้คุณกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ลงไปให้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่อยู่อีเมล , ป้อนรหัสผ่าน, ชื่อที่แสดง, รหัสยืนยัน (ดูดีๆครับจะได้กรอกไม่ผิด) ,การยอมรับข้อตกลงต่าง ๆกรอกทุกอย่างเีรียบร้อย คลิกที่ “ดำเนินการต่อ”



เข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ตั้งชื่อเว็บบล็อกของคุณอยากให้บล็อกของคุณมีชื่ออะไรก็ัจัดไปเลยครับ (แต่ถ้านึกไม่ออก ลองดูแนวทางในการตั้งชื่อบล็อก ได้ที่นี่)url : บล็อกของคุณจะมีลักษณะแบบนี้ครับ http://ชื่อที่คุณตั้ง.blogsport.comกรอกทุกอย่างครบถ้วนเรียบร้อย คลิกที่ “ดำเนินการต่อ”




เข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 กว่า ๆ แล้วครับ (ยังไม่สาม)ให้คุณเลือกแม่แบบ (Template) ที่คุณต้องการ ชอบหน้าตาแบบไหน สีอะไรก็เลือกเลยครับเลือกแม่แบบที่้ต้องการได้แล้ว คลิกที่ “ดำเนินการต่อ”



ถ้าทุกอย่างเีรียบร้อยดี ไม่มีอะไรผิดพลาด คุณก็จะได้พบเจอกับหน้านี้ครับ



เขาบอกว่า บล็อก ของคุณถูกสร้างขึ้นแล้วเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสมัครใช้บล็อกฟรีกับ blogger.com ครับให้คุณคลิกที่ “เริ่มสร้างเนื้อหา”
ขั้นสุดท้ายก็คือการเพิ่มเนื้อหาลงในบล็อกของคุณครับ


เพียงแค่นี้ คุณก็มีบล็อกฟรี กับ blogger.com เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ช่วยกันลดโลกร้อนนะคะ


โลกร้อน
ที่บ้าน
-ปิดโทรทัศน์เมื่อไม่มีคนดู หากเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้วันละ 1 ชั่วโมง พร้อมกัน 1 ล้านเครื่อง จะเสียค่าไฟรวมกันเดือนละ 8.25 ล้านบาท
-เลิกปิดโทรทัศน์ด้วยรีโมทคอนโทรล ถ้าปิดโทรทัศน์ด้วยรีโมทคอนโทรลพร้อมกัน 1 ล้านเครื่อง จะเสียค่าไฟรวมกันประมาณ เดือนละ 13.5 ล้านบาท
-เลือกใช้ตู้เย็นประหยัดไฟเบอร์ 5 ใหม่ 2001 ซึ่งประหยัดไฟกว่าเบอร์ 5 เดิม ร้อยละ 20
-ตั้งตู้เย็นห่างจากผนังทั้งด้านหลังและด้านข้างอย่างน้อย 15 ซม. จะช่วยให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ประหยัดไฟได้ร้อยละ 39
-ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส เพิ่มอุณหภูมิขึ้น 1 องศา จะประหยัดค่าไฟได้ ร้อยละ 10
-ปิดเครื่องปรับอากาศเร็วขึ้นวันละ 1 ชั่วโมง ถ้าทำพร้อมกัน 1 ล้านเครื่อง จะประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 52.5 ล้านบาท ต่อเดือน
-ปิดไฟเมื่อไม่ใช้
-เลือกใช้หลอดคอมแฟคฟลูออเรสเซนต์ชนิดที่มีบัลลาสต์ภายในขนาด 13 วัตต์ (หลอดตะเกียบ) แทนหลอดไส้ขนาด 60 วัตต์ ถ้าเปิดไฟวันละ 3 ชั่วโมง พร้อมกัน 1 ล้านหลอด จะช่วยประหยัดค่าไฟได้126.9 ล้านบาท ต่อเดือน
-ใช้เครื่องซักผ้าเมื่อมีเสื้อผ้ามากพอเหมาะกับพิกัดและน้ำหนักของเครื่อง

ที่ทำงานและโรงเรียน
-มีการตรวจประเมินการใช้พลังงานโดยผู้เชี่ยวชาญ จะทำให้ทราบว่าสามารถประหยัดการใช้พลังงานในส่วนใดได้บ้าง
-ปิดจอคอมพิวเตอร์ระหว่างพักกลางวัน ทำพร้อมกัน 1 ล้านเครื่อง ประหยัดค่าไฟได้เดือนละ 3.15 ล้านบาท
-ช้อุปกรณ์สำนักงานรุ่นที่ประหยัดพลังงาน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร พริ้นเตอร์ ถ้าเลือกใช้คอมพิวเตอร์ประหยัดพลังงานที่มีสัญลักษณ์ Energy Star พร้อมกัน 1 ล้านเครื่อง จะช่วยประหยัดค่าไฟได้เดือนละ 22.9 ล้านบาท
-ใช้กระดาษทั้ง 2หน้า เพื่อช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระดาษ
-ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม 25 องศาเซลเซียสบริเวณที่ทำงานทั่วไป 24 องศาเซลเซียสบริเวณใกล้หน้าต่างกระจก และ 22 องศาเซลเซียส ในห้องคอมพิวเตอร์
-ปิดไฟเมื่อไม่ใช้
-เลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน เช่น หลอดตะเกียบ หรือใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แทนหลอดไส้
-ใช้แสงธรรมชาติช่วยในบริเวณที่ทำงานริมหน้าต่าง และระเบียงทางเดิน
-ตั้งโปรแกรมให้ลิฟต์หยุดชั้นเว้นชั้นเพื่อประหยัดพลังงาน
-เหลียวมองหาเพื่อนร่วมทางสักนิดก่อนปิดประตูลิฟต์

ระหว่างเดินทาง
-ศึกษาเส้นทางก่อนออกเดินทาง
-เลือกใช้การเดินหรือปั่นจักรยานในระยะทางใกล้ แถมยังได้ออกกำลังกายไปในตัว
-เดินทางเส้นทางเดียวกัน ไปด้วยกัน
-ใช้จักรยานเวลาไปไหนใกล้ๆ ช่วยให้หุ่นดีด้วย
-เลือกใช้บริการระบบขนส่งมวลชน เช่น รถประจำทาง รถไฟฟ้า รถไฟ
-ไม่ติดเครื่องรถระหว่างจอดรอ เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันแล้วยังปล่อยก๊าซพิษมากกว่าปกติถึง 5 เท่า
-หมั่นตรวจสภาพเครื่องยนต์ ไส้กรองอากาศ และลมยาง อย่างสม่ำเสมอ
-ไม่เร่งเครื่องยนต์ก่อนออกรถ
-ไม่บรรทุกของที่ไม่จำเป็น การบรรทุกของไม่จำเป็น 10 กิโลกรัม จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันขึ้นอีก 80 ซีซี. ปริมาณน้ำมันเท่านี้ สามารถทำให้รถวิ่งไปได้ 560 เมตร
-ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน

http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=santa&jnId=12228

ขอเสนอ 10 วิธีลดโลกร้อน



10 วิธีแก้ภาวะโลกร้อน ปัญหาใหญ่ของสังคมทุนนิยม " ทุกวันนี้ คงสามารถรู้สึกได้กันทุกคนถึง ภาวะโลกร้อน ซึงปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้าเราสังเกตุจากข่าวประจำวัน จะทราบถึงความผิดปกติของโลกเราน้ำท่วม โคลนถล่ม แผ่นดินไหว อากาศร้อนผิดปกติ ที่อินเดียปัจจุบันอุณหภูมิสูงถึง50 องศาเซลเซียส เกิดจากผลผลิตทางอุตสาหกรรมซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน ความร้อนต่างๆและ สารเคมีที่ลอยสู่อากาศปกคลุมโลก
ขอเสนอ 10 วิธีเพื่อลดภาวะโลกร้อน
1. ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ เครื่องปรับอากาศ พัดลลม หากเป็นไปได้ ใช้วิธี เปิดหน้าต่าง ซึ่งบางช่วงที่อากาศดีๆ สามารถทำได้ เช่นหลังฝนตก หรือช่วงอากาศเย็น เป็นการลดค่าไฟ และ ลดความร้อน เนื่องจากหลักการทำความเย็นนั้นคือ การถ่ายเทความร้อนออก ดังนั้นเวลาเราใช้แอร์ จะเกิดปริมาณความร้อนบริเวณหลังเครื่องระบายความร้อน
2. เลือกใช้ระบบขนส่งมวลชน ในกรณีที่สามารถทำได้ ได้แก่ รถไฟฟ้า รถตู้ รถเมลล์เนื่องจากพาหนะ แต่ละคัน จะเกิดการเผาผลาญเชื้อเพลิง ซึ่งจะเกิดความร้อน และ ก็ซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นเมื่อลดปริมาณจำนวนรถ ก็จะลดจำนวนการเผาไหม้บนท้องถนน ในแต่ละวันลงได้
3. เวลาเดินเข้าห้างสรรพสินค้า หากมีใครเปิดประตูทิ้งไว้ ให้ช่วยปิดด้วยเนื่องจากห้างสรรพสินค้าแต่ละห้างนั้น มีพื้นที่มาก กว่าจะทำให้เกิดความเย็นได้ ก็จะก่อให้เกิดเกิดความร้อนปริมาณมาก ดังนั้นเมื่อมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ แอร์ก็จะยิ่งทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้ความเย็นตามที่ระบุไว้ในเครื่อง ซึ่งประตูที่เปิดอยู่จะนำความร้อนมาสู่ตัวห้างเครื่องก็จะทำงานวนอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความร้อนอีกปริมาณมากต่อสภาพภายนอก
4. พยายามรับประทานอาหารให้หมด เศษอาหารที่เหลือทิ้งไว้จะก่อให้เกิดก๊าซมีเทนซึ่งก่อให้เกิดปริมาณความร้อนต่อโลก เมื่อหลายคนรวมๆกันก็เป็นปริมาณความร้อนที่มาก
5. ช่วยกันปลูกต้นไม้ เพราะต้นไม้จะคายความชุ่มชื้นให้กับโลก และ ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุภาวะเรีอนกระจก
6. การชวนกันออกไปเที่ยวธรรมชาติภายนอก ก็ช่วยลดการใช้ปริมาณไฟฟ้าได้
7. เวลาซื้อของพยายามไม่รับภาชนะที่เป็นโฟม หรือกรณีที่เป็นพลาสติก เช่นขวดน้ำพยายามนำกลับมาใช้อีก เนื่องจากพลาสติกเหล่านี้ทำการย่อยสลายยาก ต้องใช้ปริมาณความร้อน เหมือนกับตอนที่ผลิตมันมา ซึ่งจะก่อให้เกิดความร้อนกับโลกของเราเราสามารถนำกลับมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำแทนกระติกน้ำได้ หรือใช้ปลูกต้นไม้ก็ได้
8. ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ อุจจาระจะปล่อยก๊าซมีเทนอออกมา ดังนี้นอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้ เมื่อมีจำนวนมากก็จะก่อให้เกิดความร้อนกับโลกเรามาก
9. ใช้กระดาษด้วยความประหยัด กระดาษแต่ละแผ่น ทำมาจากการตัดต้นไม้ ซึ่งเป็นเสมือนปราการสำคัญของโลกเรา ดังน้นการใช้กระดาษแต่ละแผ่นควรใช้ให้ประหยัดทั้งด้านหน้าหลัง ใช้เสร็จควรนำมาเป็นวัสดุรอง หรือ นำมาเช็ดกระจกก็ได้ นอกจากนี้การนำกระดาษไปเผาก็จะเกิดความร้อนต่อโลกเราเช่นกัน
10. ไม่สนับสนุนกิจการใดๆ ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรของโลกเรา และควรสนับสนุนกิจการที่มีการคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม
สรุปว่า
- กิจกรรมจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั้น จะส่งผลให้เกิดความร้อนต่อโลกเรา
- เครื่องปรับอากาศ เช่นเดียวกัน สร้างให้เกิดความร้อนต่อโลก เนื่อง เป็นการระบายความร้อนจากบริเวณที่เราต้องการให้เย็นสู่
-ภายนอก ก็คือ สิ่งแวดล้อมนั่นเองยิ่งปริมาณพื้นที่มาก ปริมาณความร้อนที่เกิดจากการปรับอากาศยิ่งสูง
- ปริมาณ พลาสติก ที่ผลิตกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ต้องใช้ความร้อนเผาไหม้ในการทำลาย ซึ่งนอกจากใช้ความร้อนจำนวนมากแล้ว ยังเกิดสารเคมีลอยขึ้นไปปกคลุมโลกของเรา กลายเป็นลักษณะของกระจก
- ยานพาหนะ ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน นอกจากความร้อนระหว่างการเผาไหม้แล้วยังเกิด ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเรือนกระจก ดังนั้น การใช้การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน ไปกันหลายๆคน ต่อครั้ง ก็จะลดปริมาณการเผาไหม้
- และ กิจกรรมอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาที่ทำให้เกิดความร้อน และ สารเคมี ย่อมส่งผลต่อภาวะโลกร้อน

เคล็ดลับการดูแลผิว

เคล็ดลับการดูแลผิว

อาบน้ำอย่างไรให้ผิวสวย
ระหว่างอาบน้ำชำระร่างกายควรหาผ้าขนหนูนุ่มๆ ผืนเล็กๆ หรือฟองน้ำ หรือใยบวบ มาขัดถู ให้ทั่วๆ ร่างกายเพื่อขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหนังให้ได้อย่างหมดจด การกระตุ้นผิวหนังระหว่างการอาบน้ำก็เสมือนการนวดผิวทำให้ผิวของคุณได้รับการดูแล ผิวจะสวยนุ่ม ละไม หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวได้ดี ระบบไหลเวียนของเลือดก็เป็นไปอย่างสะดวกดีอีกด้วย
การอบไอน้ำเพื่อสุขภาพ ช่วยให้ผิวแข็งแรง
อุณหภูมิไม่เกิน 100 องศาเซลเซียสคืออุณหภูมิที่ดีหากคุณต้องการอบไอน้ำหรือซาวน่าเพื่อให้ หลอดเลือดขยายตัว ผิวพรรณชุ่มชื่น และยังขับเหงื่อเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้ดีอีกด้วย การอบไอน้ำช่วยให้สุขภาพดี เพราะทำให้ประสาทของคุณได้รับการผ่อนคลาย หายเครียด ขจัดความอ่อนเพลีย แต่ถ้าจะอบไอน้ำเพื่อเอาใจผิวพรรณโดยเฉพาะคุณควรอบนาน 10 นาทีก็เพียงพอแล้ว หากต้องการลดน้ำหนักควรอบแบบสลับไปมานาน 20-30 นาทีก็ได้
ดับกลิ่นลมหายใจไม่สะอาดด้วยนมสด
ในระหว่างวันหากคุณพบว่ามีกลิ่นปากหรือลมหายใจไม่สะอาดจนคุณรู้สึกไม่มั่นใจและไม่ สามารถหาหมากฝรั่งหรือเม็ดอมดับกลิ่นได้ทันท่วงที คุณสามารถดื่มนมสดหรือน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นเพื่อดับกลิ่นปากให้ลมหายใจสะอาด แม้กลิ่นกระเทียมที่ค่อนข้างรุนแรงน้ำนมก็สามารถดับกลิ่นได้อย่างดีทีเดียว นอกจากนมสดและน้ำผึ้งแล้วการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นก็ช่วยดับกลิ่นปากและกลิ่นที่เกิดจากการรับประทานอาหารซึ่งมีเครื่องเทศกลิ่นแรงได้เป็นอย่างดี
ดูแลริมฝีปากทุกฤดูกาล
ในช่วงฤดูหนาวเมื่อริมฝีปากแห้ง ลอกเป็นขุย หรือแตกจนแสบ นั่นแหละถึงจะได้รับการดูแล ทะนุถนอม ซึ่งในความถูกต้องนั้นคุณควรที่จะบำรุงถนอมริมฝีปากตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใดเพื่อที่ริมฝีปากจะมีความชุ่มชื้นนุ่มละมุนเสมอ ไม่มีวันแห้งจนแตกในฤดูหนาว การทาลิปมัน ทาขี้ผึ้ง เป็นประจำจะช่วยได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคุณผู้ชายที่ไม่อยากยุ่งยากกับการทาปาก หรือคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบทาลิปสติกก็ควรใช้โลชั่นที่ใช้สำหรับบำรุงหน้าหรือผิวกายทาให้ทั่วริมฝีปากทุกๆ คืนก่อนนอน ริมฝีปากจะชุ่มชื้น นุ่มเนียน ไม่มีริ้วรอยย่น ไม่แห้งจนต้องเลียริมฝีปากบ่อยๆ ให้เสียบุคลิก
ผลไม้สดจากธรรมชาติ บำรุงผิวได้ผลเร็วกว่าครีมราคาแพง
ในผลไม้ทุกชนิดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ มากมายที่จะให้คุณประโยชน์ต่อ ร่างกายได้โดยตรง คนที่รับประทานผักสด และผลไม้สดเป็นประจำสม่ำเสมอทุกๆ วันนั้นสังเกตได้เลยว่าจะเป็นคนผิวพรรณดี แม้เป็นผู้ชายก็ผิวสวย ผุดผ่อง มีน้ำมีนวล ผลไม้บางชนิดนั้นนอกจากรับประทานแล้วยังสามารถนำมาพอกทาใบหน้าเพื่อบำรุงผิวหน้าโดยตรงได้อีก ด้วย ผลที่ได้ก็ค่อนข้างเร็วทันใจกว่าการบำรุงด้วยครีมต่างๆ ซึ่งต้องการเวลาและมีราคาสูง ถ้าคุณขยันก็ควรแบ่งเวลาสักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อพอกหน้าด้วยผลไม้ ผลที่ได้คือผิวดีที่คุ้มค่าที่สุด สับปะรดสดๆ คั้นเอาแต่น้ำมาชโลมพอกทาใบหน้า คนที่มีผิวหน้ามันจะได้ผิวที่ดี สมดุล จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆ จะหายไป (พอกนาน 20 นาที) แอปเปิลนำไปปั่นให้ข้น (ไม่ต้องให้เป็นน้ำ) หรือฝานเป็นชิ้นบางๆ นำมาวางทั่วใบหน้า หรือพอกหน้าไว้นาน 20 นาที เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้า ผิวหน้าที่ตากลมตากแดดมากๆ ควรบำรุงด้วยสูตรนี้ มะละกอสุกที่คัดเมล็ดทิ้งแล้วปั่นหรือยีให้เละด้วยส้อม นำมาพอกหน้านาน 15-20 นาที ทำให้ผิวหน้าที่แห้งแตกเป็นขุยๆ มีความนุ่มนวลและชุ่มชื้นขึ้น เปลือกมะนาวที่บีบน้ำออกแล้วนำมาถูคลึงเบาๆ ทั่วใบหน้ามันจะช่วยลดความมัน ขจัดสิวเสี้ยน เพิ่มความขาวนวลได้ดี มะเขือเทศ แตงกวา น้ำผึ้ง (เลือกอย่างหนึ่งอย่างใด) ปั่นละเอียดหรือฝานบางๆ วางทั่วใบหน้าหรือพอกหน้านาน 20 นาทีเป็นประจำทุก 1 สัปดาห์ จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้า เพิ่มความขาวเนียนผุดผ่องให้ใบหน้าได้อย่างวิเศษ
เคล็ดลับบำรุงผิวหน้ามัน
ตำรับนี้เหมาะสำหรับทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย หากใบหน้าของคุณมีความมันคุณควรบำรุง ด้วยสูตรนี้ทุกๆ 10 ต่อ 1 ครั้ง ด้วยแตงกวามะนาวและไข่ ซึ่งไม่มีสารเคมีใดๆ ที่จะทำให้คุณแพ้หรือเกิดอาการระคายเคืองได้อย่างแน่นอน เตรียมแตงกวา 2 ลูก ปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด นำมาปั่นให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะและไข่ไก่ 2 ฟอง (คัดเอาแต่ไข่ขาว) เมื่อปั่นจนผสมกันดีแล้วนำมาชโลมให้ทั่วใบหน้า (ล้างหน้าให้สะอาดก่อน) เว้นรอบริมฝีปากและดวงตา คุณต้องไม่เคลื่อนไหวใบหน้าจนครบกำหนดเวลา แล้วจึงล้างออกให้สะอาดด้วยสบู่
สตรอเบอรี่เพื่อผิวหน้า
การบำรุงผิวหน้าให้มีความชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านด้วยสตรอเบอรี่นั้นค่อนข้างทำได้แสนง่ายดาย และได้ผลดีเยี่ยมทันอกทันใจ ผิวหน้าของคุณจะขาวขึ้น มีความเนียนนวล ปราศจากริ้วรอยและจุดด่างดำต่างๆ ถ้าคุณพอกหน้าด้วยผลสตรอเบอรี่สดๆ ประมาณ 15-20 ลูก โดยนำมาปั่นให้ละเอียดจนข้นหรือใช้ส้อมตีๆ ยีๆ ให้ละเอียด (มีกากเนื้อเล็กน้อยได้) จากนั้นนำมาพอกทั่วๆ ใบหน้า เว้นรอบดวงตา และริมฝีปาก พอกทิ้งนาน 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยสบู่ สูตรนี้สามารถทำได้ทุกๆ สัปดาห์ จะได้ผลดีน่าพอใจ
บำรุงผมแห้งด้วยตัวเอง
ครีมนวลและบำรุงผมสำหรับเส้นผมที่คุณใช้อยู่เป็นประจำคู่กับแชมพูสระผมนั้นอาจต้องใช้ เวลานานพอควรกับการปรับสภาพเส้นผมให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ไม่แตกปลาย ไม่ฟูฟ่อง มีความเงางาม และมีน้ำหนักขึ้น ถ้าคุณอยากบำรุงเส้นผมที่แห้งเสียของคุณให้มีสุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ นอกจากการใช้ครีมนวด บำรุงหลังสระทุกครั้งแล้วอาจเพิ่มสูตรบำรุงผมอีกตำรับหนึ่งซึ่งคุณผสมทำเองได้ทุก 10 วันต่อ 1 ครั้ง ก็น่าจะลองทำดูบ้าง เตรียมไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาครึ่ง และน้ำมันงาสัก 2-3 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกันแล้วตีให้เข้ากันจนละเอียดเนียน แต่ไข่นั้นต้องเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมาตีให้ฟู วิธีหมักผมก็ต้องราดน้ำให้เส้นผมเปียกชุ่มทั้งหมดก่อนนำครีมน้ำมันงามาทา และนวดให้ทั่วๆ เส้นผม หมักผมทิ้งไว้นานครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกให้สะอาดก่อนสระผมตามปกติ ถ้าผมยาวก็ให้เพิ่มไข่แดงอีก 1 ฟอง และเพิ่มปริมาณน้ำมันงากับน้ำผึ้งอีกอย่างละ 2 ช้อนชา
ผมมันกับนมเปรี้ยว
เส้นผมเป็นมันจะทำให้ทรงผมดูลีบแบนและมีรังแคง่าย คุณสามารถบำรุงให้ผมที่มีความมัน ลดระดับความมัน และมีความสมดุลพลิ้วสลวยขึ้นได้ ด้วยการผสมไข่ไก่ 1 ฟองลงในนมเปรี้ยวประมาณ 1 แก้ว นำมาตีๆ ให้เข้ากันดี หรือจะใช้เครื่องปั่นก็ได้ไข่ไก่นั้นใช้ทั้งใบได้เลยไม่ต้องคัดไข่ขาวทิ้ง ราดน้ำให้เส้นผมเปียกชุ่มแล้วจึงหมักนมเปรี้ยวผสมไข่ไก่ให้ทั่วทั้งศีรษะ กะดูให้ครีมหมักชโลมเส้นผมอย่างทั่วถึง แล้วหมักผมทิ้งไว้นาน 10-15 นาทีจึงล้างออกให้สะอาดก่อนสระผมตามปกติ
สูตรพิเศษบำรุงมือและเล็บ
คนที่รักมือของตนเป็นพิเศษนั้นย่อมรักเล็บมือด้วย และการใช้ครีมโลชั่นต่างๆ ทามือและเล็บ อยู่เป็นประจำจะช่วยบำรุงให้มือของคุณนุ่มละมุนและมีความชุ่มชื่น เล็บมือก็มีสุขภาพดี ไม่แห้งเปราะง่ายหรือซีดเหลือง ยังมีสูตรบำรุงเล็บและมืออีกสูตรหนึ่งซึ่งเป็นเคล็ดลับที่จะบันดาลความนุ่มละมุนให้มือและเล็บได้อย่างดี เยี่ยม หนังรอบขอบเล็บก็จะนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง สูตรธรรมชาติตำรับนี้คือไข่แดงและสับปะรด เตรียมไข่ไก่ 2 ฟอง เลือกแต่ไข่แดงมาตีให้ฟูใส่น้ำสับปะรดคั้น 3 ช้อนโต๊ะลงไปแล้วตีให้เข้ากัน แช่มือของคุณในน้ำสับปะรดและไข่แดงนี้นาน 30-40 นาทีจึงล้างออกให้สะอาด หมั่นทำเช่นนี้เดือนละ 2 ครั้งรับรองว่าเห็นผลได้ชัดเจนทันใจแน่นอน
มาเอาใจเท้าของคุณกันเถอะ
ในวันหนึ่งๆ คุณต้องใช้เท้าเดินไปมาเป็นระยะทางไม่ใช่น้อยๆ บางวันเท้าก็ต้องวิ่ง ต้องเหน็ด เหนื่อยตรากตรำมากพอสมควร คุณคงไม่ปฏิเสธว่าคนเรามักใส่ใจบำรุงตามากกว่าเท้า แต่ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหันมาเอาอกเอาใจเท้ากันบ้าง อย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้งก็ยังดี ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ทำในขณะพักผ่อนดูทีวีก็ได้ ไม่ควรอ้างว่าไม่มีเวลาปรนนิบัติเท้าของคุณ สูตรสำหรับบำรุงเท้าให้นุ่มนวลไม่แห้งกร้านสามารถทำได้โดยเตรียมน้ำส้มสายชู 2 ช้อนชาและนมเปรี้ยว 1 แก้วน้ำดื่ม นำมาผสมให้เข้ากันดี แล้วชโลมทาให้ทั่วๆ เท้าทั้งสองข้าง แช่ทิ้งไว้นาน 15 นาทีจึงล้างออกให้สะอาดสะอ้าน เท้าของคุณจะขาวขึ้นอีกด้วย แต่ช่วงที่เท้ามีแผลหรือถลอกไม่ควรบำรุงด้วยตำรับนี้
ถุงมือ ดูแลสุขภาพมือและเล็บ
การมีถุงมือยางและถุงมือผ้าฝ้ายไว้ติดบ้านนั้นเป็นสิ่งที่คุณควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะผลที่คุณ ได้คุ้มค่ามากกว่าที่คุณคาดคิดแน่นอน งานบ้านบางอย่าง เช่น ล้างจาน ปัดกวาด เช็ดถูเครื่องเรือน เครื่องใช้ แม้จะทำเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรสวมถุง มือ การตัดแต่งกิ่งไม้ พรวนดิน รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ขนย้ายโต๊ะ ย้ายข้าวของ เพื่อจัดแต่งมุมห้องหรือบ้าน ก็สมควรสวมถุงมือเสมอๆ การสวมถุงมือในการทำกิจกรรมบางอย่างจะช่วยถนอมมือและเล็บของคุณให้ดูนุ่มเนียนไม่หยาบกร้าน แม้เป็นเพศชายก็ควรถนอมมือและเล็บให้มีสุขภาพดี หมั่นทาโลชั่นบำรุงเสมอๆ หลังเสร็จภารกิจใดๆ ที่ต้องใช้มือและเล็บนานๆ
สวมหมวกและแว่นตากันแดดบ้าง
ในวันที่คุณต้องอยู่ในที่กลางแจ้งคุณจะต้องเตรียมหมวกและแว่นกันแดดให้พร้อม เป็นต้นว่า การไปเที่ยวตลาดนัดสุดสัปดาห์ ไปชมการแข่งกีฬาที่สนาม ถ้าคุณรู้ว่าจะต้องเดินทางไปในเวลากลางวันที่แดดจ้าก็ไม่ควรละเลยที่จะดูแลตัวเองด้วย เส้นผมที่ถูกแสงแดดนานๆ และดวงตาที่รับแสงจ้ามากๆ เป็นเวลานานย่อมเสียสุขภาพแน่ การสวมหมวกมิใช่เพียงหลบไอร้อนแต่ยังช่วยดูแลเส้นผมให้คุณ เช่นเดียวกับการถนอมดวงตาด้วยการสวมแว่นตากันแดดเสมอๆ เมื่อต้องอยู่กลางแสงแดด ซึ่งจะทำอันตรายดวงตาและเส้นผมตลอดจนผิวพรรณของคุณได้อย่างแน่นอน
ฝึกนั่งสมาธิดูบ้าง
การทำจิตใจให้สงบมิใช่เป็นการดูแลสุขภาพทางใจแต่เพียงเท่านั้น เพราะจิตใจและร่างกายของ คนเรานั้นสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งที่สุด ถ้าคุณลองฝึกนั่งสมาธิดูบ้าง หมั่นทำเป็นประจำสม่ำเสมอ เมื่อจิตใจสงบสบายผ่อนคลายดีแล้วคุณจะเป็นคนที่สมองปลอดโปร่ง ความคิดอ่านโลดแล่น การตัดสินใจเฉียบคม มีบุคลิกภาพที่ดี สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี และในส่วนของผลดีที่จะเกิดกับร่างกายที่เห็นได้ชัดก็คือการนอนหลับสบายและง่ายขึ้น ขับถ่ายสะดวก ร่างกายกระชุ่มกระชวยขึ้น การเคลื่อนไหวและการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นกว่าเดิม
ความเครียดคือผู้ร้าย ทำลายสุขภาพได้อย่างนึกไม่ถึง
อย่าคิดว่าบางครั้งบางคราที่คุณเครียดแล้วจะทำให้คุณเพียงมีอารมณ์ที่หงุดหงิดและคิดมากจน นอนไม่หลับเท่านั้น แต่ความเครียดจะทำลายคุณได้อย่างที่คุณนึกไม่ถึง มาดูกันเถอะว่าความเครียดทำอะไรคุณบ้าง หิวเก่ง เบื่ออาหาร ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดศีรษะ ตกใจง่าย ง่วงซึม ลุกลี้ลุกลนผิดปกติ ป่วยง่าย นอนกัดฟัน นอนกรน หลับยาก ขาดความมั่นใจ อารมณ์เสียบ่อยๆ ฝันกลางวัน ใจสั่น หมดอารมณ์เพศ ปัสสาวะบ่อยๆ สูบบุหรี่จัด ดื่มหนัก อยากบงการ เป็นโรคกระเพาะ โรคไขข้อ มะเร็ง ลำไส้อักเสบ ผิวหนังอักเสบ ความดันโลหิตสูง ไมเกรน ระบบหัวใจผิดปกติ ฯลฯ มหันตภัยจากความเครียดยังมีอีกมากมายมหาศาลซึ่งจะเกิดขึ้นกับจิตใจและร่างกายได้อย่างที่คุณไม่รู้ตัวว่าเกิดเพราะผลจากความเครียด ดังนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดเด็ดขาด พยายามมีอารมณ์ขัน หาทางออกที่ดีที่จะลดและขจัดความเครียดออกไปให้ได้ หาซื้อหนังสือขจัดความเครียดมาลองอ่านดู อาจมีสักวิธีที่เหมาะกับคุณแน่นอน
รักตัวเอง เพื่อรักษาสุขภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
สุขภาพของคุณจะดีได้ก็คงต้องอาศัยความรักที่คุณมีให้กับชีวิตและร่างกายของคุณเอง ที่ผิวพรรณแห้งกร้าน ใบหน้าซูบหมอง ดวงตาไม่แจ่มใส เดินเหินไม่คล่องแคล่ว เซื่องซึม อารมณ์ แปรปรวน เบื่ออาหาร รับประทานอาหารไม่ค่อยได้หรือรับประทานจุเกินไป ผอมแห้งหรืออ้วนฉุ ท้องผูกหรือท้องร่วง เป็นโรคกระเพาะ มีอาการนอนไม่หลับ ป่วยทางจิต ป่วยทางกาย ฯลฯ อาการหนึ่งอาการใดดังกล่าวนี้ถ้าคุณเคยเป็นก็แสดงว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งไม่รักตัวเอง คุณจึงไม่ใส่ใจที่จะรักษาสุขภาพของตนเอง หากคุณใส่ใจเรื่องอาหารการกินบ้าง รู้สักนิดว่ากินอาหารชนิดใดจะมีผลดีหรือร้ายต่อสุขภาพอย่างไร รู้จักออกกำลังกายบ้าง รู้จักพักผ่อนและดูแลถนอมบำรุงตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าบ้าง นั่นคือสิ่งที่คนรักตัวเองควรกระทำ และเมื่อคุณรักตัวเองจนมีสุขภาพที่ดีแล้วคุณก็จะรักคนอื่นเป็น ปรารถนาที่จะแนะนำสิ่งดีๆ เพื่อรักษาสุขภาพให้แก่คนรอบข้าง เมื่อนั้นคุณจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบและมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง เพราะดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
นักมังสวิรัติได้แคลเซียมสูง
แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่แสนสำคัญต่อร่างกายของคุณ เนื่องจากบทบาทหน้าที่ของมันก็คือช่วย ให้กระดูกแข็งแรง เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทก็ต้องการแคลเซียมไปช่วยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ถ้าคุณไม่อยากเป็นโรคกระดูกผุ ข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้ ฯลฯ คุณก็ควรสนใจอาหารแคลเซียมอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ อาหารที่เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีส่วนใหญ่เป็นอาหารที่นักมังสวิรัติได้รับประทานกันเป็นประจำสม่ำเสมอ แหล่งอาหารดังกล่าวนี้คือ งาดำคั่ว ถั่วแดง อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์ ถั่วแระ กุ้งแห้ง ปลาลิ้นหมา ปลาเล็กปลาน้อยทอด ใบยอ ใบชะพลู ใบมะกรูด กุ้งฝอย ปูทะเล หอยแมลงภู่ หอยแครง ปลาทู ไข่แดง นม เนย เป็นต้น

http://www.geocities.com/Kritsana9/new_page_7.htm

เคล็ดลับเรียนเก่ง ของเด็กมหาลัย


เคล็ดลับเรียนเก่ง ของเด็กมหาลัย
ชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการเรียน ม.ปลาย เริ่มตั้งแต่การกำหนดเวลาเรียนเอง (การแย่งกันลงทะเบียน ) การกะเวลาเข้าเรียนเอง (กรณีวิชานั้นๆไม่มีคะแนนเข้าห้อง) และการที่ต้องแบ่งเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ (แล้วแต่ใครจะรวมเวลาเที่ยวเล่นลงไปด้วยก็แล้วแต่นะจ้ะ ^-^) สรุปแล้วว่า freedom กว่าเดิมแยะ และความ freedom นี่แหละ ทำให้นักศึกษาหลายต่อหลายคน จบชีวิต(ความเป็นนักศึกษา คณะนั้นๆ) ไปหลายต่อหลายคน (ไทด์ นั่นเองล่ะพี่น้องค้าบ^o^) พี่เองก็เจอกะตัวมาแล้ว สนุกไปนิด ชะล่าใจไปหน่อย คะแนนออกมา ตกมีนแทบทุกตัว T-T แทบแย่เหมือนกันกว่าจะตั้งหลักได้
ว่าแล้วก็มีเทคนิคดีๆมาฝาก เผื่อน้องๆกะเพื่อนๆจะเอาไปใช้นะจ้ะ พี่ลองดูแล้วเกรด 3 up ทุกเทอมเลย (ไม่ได้โม้นา ^o^)
1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนคะ.เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือน ติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือคะ. เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้คะ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ ยากคะ!. (สำหรับนักเที่ยวนอนดึกทั้งหลาย ลดดีกรีลงมาหน่อย เที่ยวเฉพาะวันเสาร์ไม่ก็วันที่ไม่มีเรียนเอาดีกว่านะจ้ะ)
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ คะเช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอคะ. แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องคะ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็ เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน (อาจฟังดูยาก แต่ถ้าอ่านทุดวันเป็นกิจวัตรก็จะเกิดความเคยชิน ไม่หนักเลยค่ะ) เว้นแต่ถ้าไม่ได้ใกล้ช่วงสอบมากนัก จะพักผ่อนวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ว่ากันค่ะ
3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรคะอย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยก. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันนึง ๆไม่ต้องถึงกับมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ หรอกนะคะ. สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร ก็พอค่ะ
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ค่ะ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดีให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ค่ะ.
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาค่ะ. ต้องพอรู้เกี่ยวกับแนวการสอนที่อาจารย์วิชานั้นๆสอน รู้ว่าอาจารย์ชอบเน้นจุดไหน ย้ำเนื้อหาตรงไหนบ่อยๆนั่นแหละค่ะแนวข้อสอบทั้งนั้น!
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับ แรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วค่ะ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลค่ะ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยค่ะ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัดมา(อย่าคิดว่าเรียนมหาลัยแล้วไม่ต้องทำแบบฝึกหัดนะคะ) ทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .
สำคัญคือความตั้งใจนะค่ะ. ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วค่ะ. ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือแคลคูลัส 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกค่ะ. จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยค่ะ
8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้อง มีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีค่ะ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงค่ะ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัฒนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ค่ะ. ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้ค่ะ. - ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์นึกนะคะ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกค่ะ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะคะ. ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย คือกระบวนการสอบแข่งขันค่ะ. ตรงนี้สำคัญมาก เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ให้ลองลงสนามสอบอย่าง TOFEL TOEIC สอบชิงทุนไปเลยหลายๆสนาม เป็นการวัดวิทยายุทธ ของเราว่าเทียบกับชาวโลกแล้ว เราอยู่ระดับไหน จะได้เอาไปพัฒนาตัวเองได้ต่อไปค่ะ

ตัวช่วยทำให้เรียนเก่ง


ตัวช่วยทำให้เรียนเก่ง
แม้หลังจากสอบเสร็จ จะเป็นเวลาที่ได้พักกันเต็มที่ แต่อย่าชะล่าใจไปนะจ๊ะ เพราะเผลอแป๊บเดียวก็เปิดเทอมกันอีกแล้ว วันนี้มีเคล็ดลับเรียนเก่งแบบไม่ลับมาให้ลองทำดู เพื่อรับมือกับเทอมใหม่ มาเริ่มฝึกกันเลยค่ะ
ดื่มน้ำก่อนเข้าเรียน เพราะน้ำช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลได้ แถมยังช่วยให้มี สมาธิจดจ่อดีขึ้นด้วยค่ะ
กดจุดกระตุ้นสมอง แบมือขวาออก กางนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือให้ห่างกันมากที่สุด จากนั้นวางมือลงใต้ร่องกระดูกไหปลาร้า นิ้วมือจะอยู่บนกระดูกอก นวดเบาๆ เป็นจังหวะ ในเวลาเดียวกันนี้ให้ใช้มือซ้ายวางลงบริเวณสะดือพร้มกับกดน้ำหนักลงเบาๆ ค้างไว้สองนาที
วิธีนี้ช่วยให้เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้ดี และยังช่วยสร้างสมาธิในการอ่านเขียนได้ด้วย ไม่ลองไม่รู้ นะจะบอกให้

บทความ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แนะนำเคล็ดลับ ในการเรียนเก่ง


บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด ตัดตอนมาจากหนังสือ "เดอะท็อปซีเคร็ต"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พยายามจะอธิบายความลับสุดยอดนี้ เขาย้ำว่า การค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ทุกอย่างของเขา มาจากจินตนาการ และถ้าจะเทียบระหว่างความรู้ กับ จินตนาการ เขาบอกว่า จินตนาการสำคัญกว่า จินตนาการเป็นเชาว์ปัญญาขั้นสูงสุด และมันจะนำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ๆได้อย่างไม่สิ้นสุด ขณะที่มีชีวิตอยู่ เขาย้ำนักย้ำหนาหลายต่อหลายครั้งกับนักศึกษาที่เขาสอน และต่อที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์อยู่บ่อยๆว่า “จินตนาการ สำคัญมากกว่าความรู้” แต่เขาก็ไม่อธิบายต่อว่า เพราะอะไร จินตนาการจึงสำคัญกว่าความรู้
ภาพในจินตนาการที่จะมีพลังดึงดูดให้ประสบความสำเร็จจะต้องใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย เช่น นักเรียนสองคน สามารถจินตนาการภาพ F=ma ได้ แต่คนหนึ่งใส่ความรู้สึกเข้าไปว่า ....อ้อ F มันเป็นแรงนะ เราเคยรู้สึกตอนถูกผลัก m เป็นมวล รู้สึกได้เลยเพื่อนที่ตัวใหญ่มวลจะมาก ส่วนความเร่ง a เคยรู้สึกตอนเล่นรถไฟเหาะ ฯลฯ ซึ่งความรู้สึกที่ใส่เข้าไป จะต่างกันไปตามประสบการณ์ และความสามารถในการบิ๊วด์ความรู้สึกของแต่ละคน เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้ได้ในทุกสาขาวิชาไม่ว่า จะเป็นฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ฯลฯ ( ในหนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต ใช้คำว่า "ภาพแห่งความรู้สึก”)
นักเรียนที่เรียนเก่ง ก็ค้นพบความลับนี้ เขาจะกลับมานั่งคิดและจินตนาการต่อที่บ้านเสมอ นักเรียนทุกคนในห้อง เรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน บรรยากาศเดียวกัน แต่ความสามารถในการจินตนาการต่างกัน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในหมู่เด็กที่เรียนเก่งคือ จะมีจินตนาการสูงมาก ความลับนี้เขาไม่ได้บอกใคร อาจเพราะไม่อยากบอก หรือ ไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร เด็กที่เรียนเก่งทุกคนจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ คือเมื่อเห็นภาพปุ๊บ เขาจะใส่ความรู้สึกเข้าไปปั๊บ เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไม แต่สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกได้
ประสบการณ์ที่เหมือนกันเปี๊ยบระหว่างคนสองคน จึงส่งอิทธิพลต่อวิถีชีวิตได้ไม่เท่ากัน เพราะความสามารถในการจินตนาการต่างกัน แน่นอนว่า อุปนิสัย ความชอบ ความสนใจ ความถนัด ฯลฯ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้มีพลังแห่งจินตนาการสูงขึ้นหลังจากได้พบกับประสบการณ์จริง พวกเขาจะเห็นภาพแห่งความสำเร็จในเรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด ชัดเจนกว่าคนอื่น จึงมีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้ง่ายกว่า
ประสบการณ์จากชีวิตจริง จะประทับลงในจิตใต้สำนึกได้ ต้องมีจินตนาการ เราอาจจะเคยตีแบดมินตัน แต่ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่เคยจินตนาการต่ออีก ประสบการณ์ในครั้งนั้นก็สูญเปล่า การตีในครั้งต่อไปเราจะไม่เก่งขึ้น เพราะจิตใต้สำนึกจะเข้าใจภาพแห่งจินตนาการเท่านั้น มันไม่มีส่วนเชื่อมต่อโดยตรงกับทวารทางกายทั้งห้า เหมือนอย่างจิตสำนึก
อัจฉริยะของโลกทุกคน ทุกสาขา ค้นพบความลับสุดยอดนี้แล้ว นักศึกษาแพทย์ที่เก่งๆ จะจินตนาการลักษณะของเส้นเลือดร่างกายแต่ละระบบ พยายามบิวด์ความรู้สึกเขาไป แล้วค่อยไปเรียนรู้ลักษณะย่อยของเส้นเลือดแต่ละเส้นในระบบนั้น นิสิตวิศวกรรมที่เก่งๆ สามารถพิสูจน์สมการทางแคลคูลัสได้ โดยคิดย้อนจากคำตอบขึ้นมา ทำให้ไม่ว่าอาจารย์จะกำหนดสมการแบบไหนมา เขาก็ตอบถูกเสมอ เพราะเอาคำถามของอาจารย์นั่นแหละ เป็นตัวตั้งคิดย้อนขึ้นไปพิสูจน์ ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่เพราะพวกเขามีมันสมองที่ใหญ่กว่าคนอี่น แต่เพราะพวกเขาพบความลับนี้ อาจจะด้วยพรสวรรค์ หรือ การเรียนรู้ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่มีใครที่สามารถเปิดเผยความลับนี้ให้คนอื่นได้รับรู้
ถ้าเราไปถามศิลปินนักวาดภาพที่เก่งๆ ว่าทำไมถึงวาดภาพได้ขนาดนี้ เขาจะตอบไม่ได้ ทั้งๆที่ ภาพนั้นฝังอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว มือเขาเพียงแต่วาดไปตามความรู้สึกเท่านั้นเอง ศิลปินระดับนี้ จึงต้องบิวด์อารมณ์ก่อนทำงานเสมอ เพราะอารมณ์จะทำให้ภาพในใจชัดเจนยิ่งขึ้น วันไหนไม่มีอารมณ์ จะทำงานไม่ได้เลย
สมองคนเราถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างไม่แตกต่างกัน สิ่งที่ต่างกันคือความสามารถในการจินตนาการ ไอน์สไตน์ จึงบอกว่า จินตนาการสำคัญมากกว่าความรู้ จงพยายามจินตนาการไปแล้วอย่าลืมใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย ในที่สุดมันจะมีพลังมหัศจรรย์จากจิตใต้สำนึก มาขับดันให้คุณเกิดการหยั่งรู้โดยอัตโนมัติ

อยากเรียนเก่งไหม

เคล็ดลับ เรียนเก่ง
คงเข้าใจว่าใครหลายๆคน อาจจะกำลังคิดอยู่ว่า จะทามยังไงดีให้เราเรียนเข้าใจ รู้เรื่อง ความจริงแล้ว ในการ เรียนหนังสือ ไม่ว่าเราจะฉลาดหรือไม่ ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะศึกษาและไขว่คว้าอยู่ตลอด มันก็จะดีมากเรยคะ เอาเป็นว่า มาดูดีกว่า ว่า เคล็ดลับ 13 ประการในการเรียนอย่างมีประสิทธิ์ภาพมีอะไรบ้าง
1.เราต้องมีความรับผิดชอบคะ
-เราต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบ้าน เรื่องเรียน หลายคนเวลาลืมทำการบ้าน ก็จะบอกอาจารย์ว่าหนูลืมคะ นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีนะคะ (คนเขียนทามบ่อยคะ อิอิ)
2.เริ่มต้นดี
-ใครหลายๆคนนะคะ เวลาเปิดเทอมใหม่ๆนี่ ก็จะตั้งใจเรียน แต่พอไปหลังๆนี่ เริ่มแร้วคะ ถ้าเราเริ่มต้นดีตั้งแต่ตอนแรก และก็ดีเสมอไป รับรองคะ
3.กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่
-เพื่อนๆหลายคนตอนนี้ อาจจะกำลังศึกษาอยู่ ม.3 หลายคนก็ศึกษาอยู่ ม.6 ในการเรียนต่อนั้น เพื่อนๆต้องกำหนดให้เป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น
4.วางแผนและจัดการ
-มีการวางแผน จัดลำดับสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำเป็นตารางสัปดาห์ได้ก็ยิ่งดีใหญ่เรยนะคะ
5.มีวินัยต่อตนเอง
-เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผนและจัดการเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม
6.อย่าล้าสมัย
-วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์
7.ฝึกตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ศึกษาข้อมูลเสนอแนะ และฝึกทักษะการเรียนรู้
8.เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู้ชั้นเรียน
-เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน เตรียมอุปกรณ์หนังสือที่จะใช้ในการเรียนให้เรียบร้อย
9.มุ่งมั่นจดจ่อต่อบทเรียน
-ในการเรียนนั้นเราก็ควรที่จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจฟังที่อาจารย์พูด อาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อที่จะมานั่งพูดคุยกัน หรือรอเวลาให้เลิกเรียนเร็วๆ
10.เป็นตัวของตัวเอง
-รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเอง คิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูงเหมือนกัน
11.มีความกระตือรือล้น
-ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตนเอง
12.มีสุขภาพดี
-เพื่อนๆอย่าลืมใส่ใจถึงสุขภาพทางร่างกายของตัวเราเองนะคะ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมทางสังคมต่างๆก็มาถึงเคล็ดลับทางการเรียนข้อสุดท้ายกันแล้วคะ
13.เรียนอย่างมีความสุข
-เราต้องพยายามที่จะเก็บเกี่ยวความสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่า วิชานี้น่าเรียน เรียนสนุก ไม่ต้องไปเครียดกับมัน แล้วเราก็จะเรียนอย่างมีความสุขคะ

ก็บอกกันไปแล้วนะคะ ไงเพื่อนๆก็อย่าลืม นำเคล็ดลับทั้ง13ประการนี้ ไปปฏิบัติกันดูนะคะแล้วคราวหน้า กิ๊กจะเอาอะไรมาฝากกัน คอยดูนะคะ
http://blog.eduzones.com/entertain/10627

ไข้หวัดหมู หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่ควรรู้จัก


ข่าวคราวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศเม็กซิโก จนคร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบคน ซึ่งผู้เสียชีวิตเฉพาะในประเทศเม็กซิโก มีถึง 149 คน (ตัวเลขทางการ ณ วันที่ 28 เมษายน 2552) เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนานาชาติเป็นอย่างมาก ล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศเตือนว่า สถานการณ์ขณะนี้มีความรุนแรงมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะลุกลามไปทั่วโลก ทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับโรคชนิดนี้ เกิดความสงสัยว่า "โรคไข้หวัดหมู" คืออะไร และจะสามารถป้องกันได้อย่างไร วันนี้กระปุกอาสามาบอกต่อกันค่ะ
รู้จักโรคไข้หวัดหมู
"โรคไข้หวัดหมู" หรือ Swine influenza เป็นไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ ตามปกติมีการระบาดในหมูเท่านั้น สามารถพบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้ง H1N1, H1N2 และ H3N2 แต่บางครั้งหมูอาจมีเชื้อไข้หวัดอยู่ในตัวมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดการผสมกันของยีนได้ ทำให้เกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่สามารถข้ามสายพันธุ์มาติดต่อยังมนุษย์ได้ เริ่มต้นจากการสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค
ไข้หวัดหมูส่วนใหญ่มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แต่สามารถพบเชื้อได้ตลอดทั้งปี สำหรับโรคไข้หวัดหมูที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกานั้น เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน ซึ่งไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์, ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อ H1N1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น
วิวัฒนาการไข้หวัดหมู
ก่อนจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ หรือไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกนั้น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ดั้งเดิม พบมาตั้งแต่ ค. ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากนั้นโรคไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในช่วงต่างๆ ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่มากกว่า 50 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมูและมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน
ต่อมาใน ค.ศ.1988 หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเสียชีวิตในรัฐวิสคอนซิน และมีประวัติสัมผัสหมู จึงเกิดการสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จนกระทั่งปี ค.ศ.1998 จึงพิสูจน์พบว่า หมูที่เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา
จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 2008 ได้พบไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ (H1N1) ที่ประเทศสเปน จากหญิงอายุ 50 ปีที่ทำงานในฟาร์มหมู โดยมีอาการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ คันตา และหนาวสั่น แต่อาการเหล่านี้หายไปได้เอง โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาใดๆ จึงไม่มีการคาดการณ์ว่า ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่จะเป็นอันตรายมากนัก
จนกระทั่งล่าสุด เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู ในประเทศเม็กซิโก และมีการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า โรคนี้สามารถแพร่กันระหว่างคนสู่คน เนื่องจากเชื้อโรคได้วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์แล้ว
การติดต่อโรคไข้หวัดหมู
เชื้อไข้หวัดหมู มีการติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนทั่วไป และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามปกติคนจะไม่ติดเชื้อไข้หวัดหมู ยกเว้นผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับหมู ก็อาจติดเชื้อไข้หวัดหมูมาได้ แต่มักไม่ค่อยพบกรณีนี้ ทั้งยังไม่ค่อยพบกรณีไข้หวัดหมูระบาดจากคนสู่คนอีกด้วย แต่กรณีโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโกอยู่ขณะนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า มีการติดต่อจากคนสู่คน เพราะผู้ป่วยบางรายไม่เคยมีประวัติสัมผัสหมูแต่อย่างใด
ทั้งนี้เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด รวมทั้งติดต่อกันทางลมหายใจ หากอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื่อ และสามารถติดต่อได้จากมือ หรือสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา แต่ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู
ขณะที่นักวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า โรคไข้หวัดหมู มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่าโรคซาร์ส และไข้หวัดนก แต่อัตราการเสียชีวิตมีน้อยกว่า คืออยู่ที่ร้อยละ 5-7 ขณะที่โรคไข้หวัดนกมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60
แต่ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ยืนยันว่า โรคไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่จะระบาดในวงกว้างหรือไม่ และจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะติดต่อจากคนสู่คนได้ยากง่ายระดับไหน
อาการของโรคไข้หวัดหมู
เมื่อเชื้อไข้หวัดหมูเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรากฎอาการที่คล้ายกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่า และรวดเร็วกว่า นั่นคือ มีไข้สูงราว 38 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ ปอดบวม เบื่่ออาหาร บางรายอาจท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต จึงทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีการทรงตัวผิดปกติ เดินเอนไปเอนมาเหมือนคนเมาสุรา นอกจากนี้อาจสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การรักษาโรคไข้หวัดหมู
ทางสหรัฐอเมริกา ระบุว่า โรคไข้หวัดหมูสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ คือ วัคซีนแอนตี้ไวรัส "โอเซลทามิเวียร์" (ชื่อทางการค้าว่า ทามิฟลู) และ "ซานามิเวียร์" (ชื่อทางการค้าว่า รีเลนซา) เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไม่ให้แตกตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า วัคซีนเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด เนื่องจากไข้หวัดหมูที่แพร่ระบาดอยู่ขณะนี้ เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น จึงต้องมีการศึกษาพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ เพื่อใช้ในการรักษาให้มีประสิทธิผลมากขึ้นต่อไป
การป้องกันโรคไข้หวัดหมู
โรคไข้หวัดหมู แม้จะเป็นสายพันธุ์หมู แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมูโดยตรง เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นจึงสามารถรับประทานหมูได้ หากไม่แน่ใจ ให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกเสียก่อน คือ ผ่านความร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือต้มในน้ำเดือด ก็จะสามารถทำลายเชื้อให้หมดไปได้
ทั้งนี้ วิธีการป้องกันการติดต่อของโรคได้ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด และล้างมือบ่อยๆ
ในส่วนของผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก รวมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียและเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศใกล้เคียง ควรติดตามสถานการณ์และคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด และหากมีอาการไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
สำหรับประเทศไทยนั้น ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ยังไม่พบการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศ ดังนั้นก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอกค่ะ แต่ถ้าหากยังไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์จากโรคไข้หวัดหมู แนะนำว่าให้รับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกแล้วดีกว่า และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อีกทั้งติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตค่ะ

พบไวรัสหมูท้องร่วง กลายพันธุ์จากจีน ตายกว่า 6 แสนตัว


สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
จากเหตุการณ์ลูกหมูในฟาร์มทั่วประเทศไทยตายลงกว่า 6 แสนตัว จากการระบาดของ "โรคท้องร่วงติดต่อในสุกร" หรือโรคพีอีดี (Porcine Epidemic Diarrhea หรือ PED) นั้น ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่เกิดโรคระบาดพีอีดีทำให้หมูตายนับแสนตัว นอกจากนี้ ผลวิเคราะห์สารพันธุกรรมในไวรัสที่ระบาดยังพบว่า ไม่ใช่ไวรัสพีอีดีในไทย แต่เป็นไวรัสกลายพันธุ์ที่แพร่มาจากประเทศจีน
ขณะที่ น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช หัวหน้าหน่วยชันสูตรโรคสัตว์และหัวหน้าหน่วยพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า โรคพีอีดีที่ทำให้หมูท้องร่วงนั้นพบในเมืองไทยมานานหลายปี เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสพีอีดี(Porcine Epidemic Diarrhea Virus หรือ PEDV) ในสกุลโคโรนาไวรัส (coronavirus) ที่พบได้ในสัตว์หลายชนิดรวมทั้งในคน ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปทำลายเยื่อบุลำไส้เล็ก ส่งผลให้การดูดซึมสารอาหารน้อยลง ลูกหมูจะสูญเสียของเหลวและมีอาการขาดน้ำรุนแรงจนช็อกตาย แต่โรคพีอีดีไม่เคยระบาดรุนแรงจนทำให้ลูกหมูตายไปไม่ต่ำกว่า 5 แสนตัวแบบนี้มาก่อน จึงมีการนำเชื้อพีอีดีที่ระบาดล่าสุดมาวิเคราะห์สารพันธุกรรม ทราบว่าไม่ใช่ไวรัสสายพันธุ์เดิมในเมืองไทย แต่เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศจีนเมื่อปี พ.ศ. 2547
"ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของโลกที่โรคระบาดพีอีดีทำให้ลูกหมูท้องร่วงตายกว่า 5 แสนตัว มีรายงานว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องถึงปัจจุบัน เมื่อนำไวรัสพีอีดีจากลูกหมูที่ตายมาถอดรหัสพันธุกรรม ทำให้รู้ว่าเป็นไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ไม่เคยระบาดในไทยมาก่อน เพราะสารพันธุกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม แต่ไปเหมือนกับสายพันธุ์ที่เคยพบในจีนมาก่อนแล้ว ถือเป็นการพบไวรัสพีอีดีสายพันธุ์นี้ครั้งแรกในไทย" ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสในสุกรกล่าว
น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า การระบาดของโรคพีอีดีนั้นยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าติดสู่คนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสจะติดอยู่ตามเสื้อผ้า มือ รองเท้า หรืออวัยวะของผู้ที่ไปสัมผัสตัวลูกหมูหรืออุจจาระในเล้าหมู หากผู้สัมผัสมีร่างกายอ่อนแออาจมีอาการท้องเสียหรือท้องร่วงประมาณ 1 วัน จากนั้นร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันและสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้ ผู้บริโภคไม่ควรตื่นตระหนก เพราะขณะนี้กำลังศึกษาถึงการก่อโรคในสัตว์และในคนอยู่ ถึงแม้ว่าไวรัสพีอีดีจะเป็นไวรัสในวงศ์เดียวกับไวรัสซาร์สก็ตาม แต่ลักษณะทางพันธุกรรมและการก่อโรคจะแตกต่างกันมาก เนื่องจากไวรัสซาร์สไปทำลายระบบหายใจทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไวรัสพีอีดีหากมีการติดเชื้อสู่คนจริงก็จะมีอาการท้องร่วงแค่ 1 - 2 ครั้ง จากการสังเกตของผู้เชี่ยวชาญแล้วร่างกายมนุษย์ก็จะสร้างภูมิคุ้มกันได้เองตามธรรมชาติ

ขนมจีนซาวน้ำ

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมมีสูตรขนมจีนซาวน้ำมาฝากกันครับ ความอร่อยของขนมจีนซาวน้ำอยู่ที่ความข้นและมันหวานของน้ำกะทิ แจงลอนต้องเหนียว โดยเลือกใช้เนื้อปลากรายมาทำ และหอมกลิ่นรากผักชี กระเทียม พริกไทย สับปะรดต้องมีรสหวานอมเปรี้ยว กุ้งแห้งใช้ชนิดเนื้ออย่างดี เมื่อรับประทานจึงเพิ่มรสอร่อยตามความชอบด้วยพริกป่นคั่วเอง มะนาวเปลือกบางสีเขียว และน้ำปลาดี รู้อย่างนี้แล้วเราไปลองทำกันเลยครับ
ส่วนผสม
-สับปะรดสับละเอียด 1 1/2 ถ้วยตวง
-กระเทียมหั่นบางๆ 1/4 ถ้วย
-ขิงสดหั่นฝอย 1/4 ถ้วย
-กุ้งแห้งป่น 1/2 ถ้วย
-มะนาว 3 ผล
-น้ำปลาดี 1/4 ถ้วย
-น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
-หัวกะทิข้นๆ ตั้งไฟแล้ว 1 ถ้วย
-แจงร้อนหรือลูกชิ้นปลา 40 ลูก
-ขนมจีน 25 จับ
-พริกขี้หนู 15 เม็ด
-น้ำพริกแกงคั่ว
-พริกแห้งเม็ดใหญ่ 7 เม็ด (แช่น้ำให้นิ่ม)
-ข่าหั่นฝอย 1 ต้น
-หอมแดงซอย 7 หัว
-กระเทียมซอย 1 หัว
-กะปิดี 1/2 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมแจงลอน
-เนื้อปลากรายขูด 300 กรัม
-น้ำพริกแกงคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
-ผักชีหั่นหยาบๆ 1 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1 ช้อนชา (ผสมกับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ)
วิธีทำแจงลอน
-นวดเนื้อปลากับน้ำพริกแกงใส่น้ำเกลือเล็กน้อย นวดให้เข้ากันจนเหนียว ใส่ผักชีนวดอีกครั้ง ปั้นเป็นลูกชิ้นรูปทรงรีๆ เสียบไม้ปิ้งไฟ พอสุกหรือจะต้มในน้ำกะทิก็ได้
วิธีจัดเสิร์ฟ
-จัดขนมจีนลงจานเสิร์ฟ วางแจงร้อนลงบนเส้น วางขิงและกระเทียมไว้ด้านบน โรยด้วยกุ้งแห้งป่น วางสับปะรดไว้ข้างจานพร้อมมะนาวผ่าซีก ราดด้วยหัวกะทิ ปรุงรสตามชอบด้วยน้ำตาล น้ำปลา พริก (พริกขี้หนูซอยผสมน้ำปลาดี)
บทความจาก : หนังสือครัวสยาม
http://www.hilunch.com/category/recipes/thai-food

ขนมจีนน้ำยากุ้ง

ขนมจีนน้ำยากุ้ง

ส่วนผสม
-ขนมจีน 50 จับ
-พริกแห้งขนาดกลาง 15 เม็ด (แกะเมล็ดออกแล้วแช่น้ำหั่นหยาบ)
-หัวหอมหั่นหยาบๆ 22 หัว
-ข่าหั่นฝอย 10 แว่น
-หัวกระชายหัวใหญ่ๆ 5 หัว (ปอกเปลือกแล้วหั่น)
-รากกระชาย 1 1/2 กิโลกรัม (ขูดเปลือกแล้วหั่น)
-ตะไคร้หั่น 4 ต้น
-กะปิ 1 ช้อนชา
-เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
-กุ้งปอกเปลือก 1 กิโลกรัม
-ปลากุเลาเค็ม 1 ชิ้น
-กะทิ 15 ถ้วย
-น้ำสะอาด 10 ถ้วย
วิธีทำ
-เอาน้ำใส่หม้อตั้งเตาไฟ เอาพริกแห้ง กระเทียม หัวหอม ข่า หัวกระชาย ตะไคร้ รากกระชาย ใส่ลงไปเคี่ยวจนน้ำงวดลงครึ่งหนึ่ง ตักเครื่องแกงออกใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
-น้ำที่เหลือจากต้มเครื่องแกงตั้งไฟให้เดือด เอากุ้งที่ทำเตรียมไว้ลงไปต้มให้สุก ตักขึ้น ทิ้งไว้ให้เย็น
-เอาเกลือป่น เครื่องแกงที่ต้มไว้ใส่ครกโขลกให้ละเอียด จะแบ่งโขลกทีละน้อยก็จะสะดวกและละเอียดง่าย จากนั้นนำมาโขลกรวมกันอีกครั้ง ใส่กะปิ เนื้อกุ้ง ลงไปโขลกจนเข้าเป็นเนื้อเดียว เตรียมไว้
-นำกะทิ 15 ถ้วยใส่หม้อตั้งไฟจนแตกมัน เอาน้ำต้มกุ้งใส่ลงไป ตามด้วยปลากุเลาที่แกะเอาแต่เนื้อ ละลายเครื่องแกงที่โขลกเตรียมไว้ลงในหม้อ หมั่นคน อย่าให้ไหม้ ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมรสตามชอบ
-แบ่งขนมจีนใส่จาน ราดด้วยน้ำยากุ้งร้อนๆ รับประทานกับถั่วงอก มะระต้ม ถั่วฝักยาว ใบแมงลัก หากชอบรสเผ็ดจะเพิ่มพริกขี้หนูป่นลงไปด้วยก็ได้ครับ
บทความจาก : หนังสือครัวสยาม

http://www.hilunch.com/category/recipes/thai-food

ข้าวกะเพราเต้าหู้หมูสับ


ข้าวกะเพราเต้าหู้หมูสับ
ส่วนผสม
-น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
-กระเทียมบด 1 ช้อนโต๊ะ
-พริกขี้หนูบดหยาบ 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
-เนื้อหมูส่วนสะโพกสับหยาบ 100 กรัม
-เต้าหู้ชนิดแข็งปานกลางหั่นลูกเต๋าเล็ก 70 กรัม
-เห็ดฟางผ่าสี่ 3 ดอก
-ข้าวโพดหวานต้มฝาน 3 ช้อนโต๊ะ
-น้ำ 1/2 ถ้วย
-ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
-ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำพริกเผา 1/2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
-กะเพราเด็ดใบ 1/2 ถ้วย
-ใบกะเพราทอดกรอบสำหรับโรย
-พริกน้ำปลา
วิธีทำ
-ตั้งน้ำมันบนไฟกลางพอร้อน ใส่กระเทียมและพริกขี้หนู ผัดพอหอม
-ใส่เนื้อหมูสับผัดยีพอทั่ว ใส่เต้าหู้ เห็ดฟาง ข้าวโพดหวาน ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำ ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส น้ำพริกเผา และน้ำตาล ใส่ใบกะเพรา ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ
-ตักข้าวสวยใส่จาน ตักผัดกะเพราเต้าหู้หมูสับราด โรยใบกะเพราทอดกรอบ เสิร์ฟกับพริกน้ำปลา
บทความจาก : หนังสือครัว

ไข่ดาวทรงเครื่อง

ไข่ดาวทรงเครื่อง
ส่วนผสม (5 คนรับประทาน)
-น้ำมันมะกอก 1 ถ้วย
-ไข่เป็ดใหม่ๆ 5 ฟอง
-รากผักชีหั่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
-พริกไทยเม็ด 1/2 ช้อนชา
-เนื้อหมูส่วนสะโพกสับ 100 กรัม
-กุ้งก้ามกราม (คัวละ 60–65 กรัม) แกะเปลือก 3 ตัว
-น้ำซุปหมู 1/2 ถ้วย
-น้ำปลา 1 1/2 ช้อนชา
-ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
-น้ำมันหอย 2 ช้อนชา
-น้ำตาลทรายชนิดไม่ฟอก 1 ช้อนชา
-เนื้อมะเขือเทศหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก (ไม่เอาเมล็ด) 2 ลูก
-พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นเส้น 1 เม็ด
-ผักชีเด็ดใบ 1 ต้น
-กุ้งก้ามกรามแกะเปลือกไว้หางผ่าหลังฉ่าน้ำมันสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ
-ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ต่อยไข่ลงทอดให้ไข่ขาวฟูเหลือง ตักใส่จาน เตรียมไว้
-โขลกรากผักชีกับพริกไทยเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้
-สับเนื้อหมูกับเนื้อกุ้งเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้
-ตักน้ำมันในกระทะที่ทอดไข่ออกให้เหลือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ใส่เครื่องที่โขลกลงผัดให้มีกลิ่นหอม ใส่เนื้อหมูกับเนื้อกุ้งที่สับ และน้ำซุปหมู ผัดให้เข้ากันจนสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซอสปรุงรส น้ำมันหอย และน้ำตาล -ผัดให้ทั่วจนน้ำงวดเล็กน้อย ปิดไฟ
-จัดไข่ดาวใส่ชามหรือจาน ตักเครื่องที่ผัดราด โรยเนื้อมะเขือเทศ พริกชี้ฟ้าสีแดงและใบผักชี ตกแต่งด้วยกุ้งก้ามกรามฉ่าน้ำมัน เสิร์ฟ
บทความจาก : นิตยสารครัว
http://www.hilunch.com/category/recipes/thai-food

เห็ดหอมสอดไส้


เห็ดหอมสอดไส้
วันนี้ผมมีสูตรอาหารจีนมาฝากเพื่อนๆ ครับ นั่นก็คือ เห็ดหอมสอดไส้นั่นเอง พูดถึงเห็ดหอม หลายคนคงนึกถึง การตุ๋นยาจีน ไม่ว่าจะเป็นยาขนานไหน ก็จะต้องมีเห็ดหอมเป็นส่วนผสมอยู่ร่ำไป นั่นเป็นเพราะว่า เห็ดหอมมีคุณค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินดี บี1 บี2 เมื่อกินแล้วจะช่วยให้เลือดลมดี ป้องกันโรคหัวใจตีบ ลดระดับคอเลสเตอรอล รวมทั้งช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านมะเร็งและการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย เท่านั้นยังไม่พอ สรรพคุณที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นยาบำรุงกำลัง ชะลอความแก่ และ บำรุงสมองได้ดีอีกด้วย แหม่ ช่างควรค่าแก่การกินจริงๆ ใช่มั๊ยครับ
ส่วนผสม
-กุ้งสับละเอียด 200 กรัม
-มันหมูแข็งหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
-พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
-เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
-น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา
-แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา
-เห็ดหอม 5 ดอก
วิธีทำ
-น้ำเห็ดหอดตัดโคน แช่น้ำพอนิ่ม
-ผสมเนื้อสัตว์หมักกับเครื่องปรุงรส นวดให้เข้ากัน แช่ตู้เย็นทิ้งไว้ ประมาณ 20 นาที นำมาพอกที่ด้านล่างของเห็ดหอม
-นำเห็ดหอมใส่เข่ง นึ่งประมาณ 5–10 นาที

ยอดมะพร้าวผัดกุ้ง


ยอดมะพร้าวผัดกุ้ง
ส่วนผสม
-กุ้งสด 5 ตัว
-ยอดมะพร้าวสด 200 กรัม
-พริกขี้หนูสด 4–5 เม็ด
-กระเทียม 3 กลีบ
-ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
-น้ำมันหอย 1 ช้อนชา
-น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
-ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา
-ใบกะเพรา
-พริกแดงสด
วิธีทำ
-กระเทียมสับและพริกขี้หนูสด ลงเจียวในกระทะที่น้ำมันร้อน จนกระเทียมและพริกขี้หนูเหลืองหอม
-ใส่ยอดมะพร้าว ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำมันหอย น้ำตาลทราย ซีอิ้วดำ คลุกเคล้ากันจนทั่ว
-ใส่กุ้งสดที่เตรียมไว้ ผัดคลุกเคล้าให้สุก
-ใส่ใบกะเพราและพริกแดง ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

ขนมจีบหมู


ขนมจีบหมู
ส่วนผสม
-แผ่นเกี๊ยว 20 แผ่น
-เนื้อหมูบดละเอียด 200 กรัม
-กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
-พริกไทย 1 ช้อนชา
-รากผักชี 1 ช้อนชา
-ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
-ซอสแม็กกี้ 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
-ผักชีเด็ดเป็นใบ 20 ใบ
-พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเป็นเส้น 1 เม็ด
วิธีทำ
-นำรากผักชี พริกไทย กระเทียม โขลกรวมกันให้ละเอียด
-นำเนื้อหมูผสมกับเครื่องที่โขลก ผสมให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ซอสแม็กกี้ น้ำตาลทรายให้เข้ากัน
-นำแผ่นเกี๊ยวห่อส่วนผสมของเนื้อหมู นำใส่ถ้วยตะไลเล็ก ตกแต่งปากถ้วยด้วยกรรไกรให้เรียบร้อย วางใบผักชีและพริกชี้ฟ้า
-นำขนมจีบเรียงใส่หม้อซึ้ง นึ่งไฟปานกลางประมาณ 15–20 นาที ยกลงกินคู่กับน้ำจิ้ม
ส่วนผสมน้ำจิ้ม
-ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
-ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
นำส่วนผสมทุกอย่างรวมกัน ตั้งไฟ พอเดือดยกลง

ไข่ตุ๋นน้ำขิง

ไข่ตุ๋นน้ำขิง
ส่วนผสม
1. ไข่ไก่ 4 ฟอง
2. น้ำขิงคั้นสด 1 ช้อนชา
3. น้ำตาลกรวด 150 กรัม

วิธีทำ
1. โขลกน้ำตาลกรวดให้ละเอียด แล้วละลายลงในน้ำที่กำลังเดีอด 20 ช้อนโต๊ะ จากนั้นปล่อยให้เย็น
2. ตอกไข่ใส่ชามตีจนขึ้นฟู เติมน้ำขิง และรินน้ำที่ละลายน้ำตาลกรวดที่เย็นแล้วลงไป
3. ตีไข่ต่อจนขึ้นฟูอีกครั้ง นำไปตุ๋นจนน้ำแห้ง
4. ยกลงตักเสิร์ฟ แต่งหน้าด้วยแคร์รอตหั่นฝอยเพื่อความสวยงาม

บทความจาก : มหัศจรรย์สมุนไพรจีน
http://www.hilunch.com/streamed-egg-with-ginger

ไก่นึ่งเห็ดหอม


ไก่นึ่งเห็ดหอม
ส่วนผสม
-ไก่ขนาดกลาง 1/2 ตัว
-เห็ดหอม 25–30 กรัม
-ขิงสด 5 กรัม
-ต้นหอม 2–3 ต้น
-เครื่องหมักไก่ เช่น น้ำมันงา พริกไทยป่น น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว เหล้าขาว เกลือ แป้งข้าวโพด

วิธีทำ
-นำไก่มาหมักด้วยน้ำมันงา 1/2 ช้อนชา พริกไทยป่น 1/3 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/3 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เหล้าขาว 1 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา คลุกเคล้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
-นำเห็ดหอมพร้อมขิงสดที่หั่นบางๆ วางเรียงลงไป เติมน้ำเปล่าหรือน้ำซุป แล้วนำไปนึ่งประมาณ 20 นาที เปิดฝาแล้วโรยต้นหอมและขิงซอย นึ่งต่ออีก 2 นาที ยกลงตักเสิร์ฟ
สรรพคุณ ช่วยบำรุงกระเพาะ ม้าม และเลือดลม นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูกำลังอีกด้วยครับ

ไวรัส ไข้หวัดหมู

ไวรัส ไข้หวัดหมู

สวัสดีครับเพื่อนๆ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนะครับ เดี๋ยวแดดร้อนเปรี้ยงๆ เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วมถล่มทลาย ระวังเป็นหวัดกันนะครับ พูดถึงโรคหวัด วินาทีนี้คงไม่มีใครดังไปกว่า ไข้หวัดหมู เพื่อนๆ หลายคนอาจตื่นเต้นตกใจว่า ต่อไปนี้เราจะไม่ได้กินหมูแล้วล่ะหรอ แต่ความคิดนั้นไม่ถูกซะทีเดียวครับ เราไปดูรายละเอียดกันเลยครับ

ภายหลังข่าวที่มีรายงานการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่และปอดบวมในประเทศเม็กซิโก ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2552 และทวีความรุนแรงมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา จนมีผู้ป่วยรวม 854 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 59 ราย ซึ่งจากการเก็บตัวอย่างผู้ป่วยรวม 50 ราย ส่งตรวจพบว่า 17 ราย เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ที่ต้องตกตะลึง คือ เชื้อมฤตยูนี้เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ของคน โดยมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในหมูผสมอยู่ด้วย

แน่นอนว่า รายงานชิ้นดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนทั้งโลก วันนี้จึงควรมาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อ “ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1” หรือ “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู” กัน…
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้รายละเอียดว่า ไข้หวัดใหญ่ที่พบในคนตามฤดูกาลส่วนมากจะเป็น สายพันธุ์ H1N1 และ H3N2 ซึ่งมีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ วัคซีนที่ใช้ในการป้องกันทุกปี และต้องมีการฉีดวัคซีนประจำปีที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสที่จะมีการระบาด ก็จะสามารถป้องกันโรคได้

อย่างเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ก็จัดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด A ซึ่งระบาดอยู่ในสัตว์ปีก และสามารถติดเชื้อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้ แต่ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 เป็นสายพันธุ์รุนแรงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ

สำหรับเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูนั้น ก็เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด A เช่นกัน พบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ในปัจจุบันที่พบบ่อยรวมทั้งในประเทศไทย จะเป็นสายพันธุ์ H1N1, H1N2 และ H3N2 ซึ่งลักษณะสายพันธุ์ไม่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ ในมนุษย์ มีรายงานน้อยมากที่จะข้ามมายังมนุษย์
“ในส่วนการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู ที่พบในประเทศเม็กซิโก และอเมริกานั้น เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในมนุษย์ เป็นสายพันธุ์ที่มีชิ้นส่วนของพันธุกรรมเกิดจากการผสมผสานของไข้หวัดหมู ที่เคยมีรายงานในอเมริกา หรือ ยุโรป และเอเชีย รวมทั้งชิ้นส่วนพันธุกรรมของไข้หวัดที่เคยรายงานไว้ในอเมริกาเหนือ จึงถือได้ว่าเป็น “ไวรัสสายพันธุ์ใหม่” และเมื่อดูองค์ประกอบเปรียบเทียบกับวัคซีน H1N1 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความคล้ายคลึงกันไม่ถึง 80% …บ่งชี้ให้เห็นว่า การป้องกันด้วยวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะได้ผล อย่างไรก็ตาม ไวรัสดังกล่าวยังคงตอบสนองต่อยาต้านไวรัส ได้แก่ Oseltamivir (Tamiflu) และ Zanamivir แต่สามารถดื้อต่อ ยา Amantadine ได้เช่นกัน” ศ.นพ.ยง ขยายความ

กินหมูได้ไม่ติดโรค!!

“ข่าวการระบาดของโรคนี้ อาจทำให้ประชาชนไทยเกิดความวิตก กลัวติดเชื้อ และไม่กล้ากินเนื้อหมู จึงขอให้ข้อมูลว่า โรคระบาดดังกล่าวไม่ใช่โรคที่ติดจากการรับประทานหมู แต่เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่มีสารพันธุกรรมของหมูและคนผสมกัน เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ติดต่อจากคนสู่คนไม่ใช่จากหมูมาสู่คน ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำว่า ให้เฝ้าระวังผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และปอดบวมอย่างใกล้ชิด”อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

ทั้งนี้ นพ.มล.สมชาย บอกย้ำความมั่นใจด้วยว่า กรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ ซึ่งมีเพียงพออยู่แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีรายงานผู้เสียชีวิตในประเทศเม็กซิโก แต่เชื้อนี้มียาต้านไวรัสที่รักษาได้ นอกจากนี้ ไทยยังมีระบบที่ใช้ตลอดปี คือ การเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวมเพื่อคัดกรองหาโรคไข้หวัดนก ซึ่งปกติไข้หวัดใหญ่ในคนจะพบเชื้อ H3N2 มากกว่า H1N1 อยู่แล้ว การเฝ้าระวังจึงสามารถเพิ่มเติมรองรับใช้กับโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ได้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็กินหมูกันได้อย่างสบายใจกันแล้วนะคร้าบบบบ

บทความจาก : ผู้จัดการออนไลน์

http://www.hilunch.com/h1n1-swine-flu

เที่ยวดับร้อน - พักผ่อนชิลล์..ชิลล์ ที่ เกาะเสม็ด










เดือนเมษาหน้าร้อนในปีนี้ หลายคนคงเตรียมทริปดีๆ ไว้สำหรับพักผ่อน หย่อนใจ คลายความร้อน กันแล้วล่ะ และแน่นอน แหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ คงหนีไม่พ้น "เกาะเสม็ด" สถานที่ยอดฮิตพิชิตความร้อนของเมืองระยองฮินั่นเอง เสน่ห์มัดใจของที่นี่ นอกจากจะมีชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลเย็นใสน่าสัมผัสแล้ว ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกทั้งยามกลางวันและค่ำคืน ที่สำคัญการเดินทางไปก็ไม่ยากนัก เพราะอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ เท่าไรด้วยนะ
นอกจากนี้ ภายในเกาะเสม็ด ยังประกอบไปด้วยชายหาดและอ่าวต่างๆ ที่เรียงรายยาวสุดลูกลูกตา ที่นักท่องเที่ยวต่างการันตีว่าถ้าไปถึงแล้วแทบจะไม่อยากกลับเลยทีเดียว
- หาดทรายแก้ว ชายหาดชื่อคุ้นหู สำหรับนักท่องเที่ยว ที่หลงใหลในความเฮฮาปาร์ตี้ เรียกว่าเป็นหาดที่ไม่เคยหลับ เพราะมีกิจกรรมร้อยแปดให้เลือกสรร เริ่มอุ่นเครื่องในช่วงเช้าด้วยการเล่นน้ำทะเล ต่อด้วยนอนเอกเขนกรับแสงแดดในช่วงกลางวัน จากนั้นมานั่งเล่นยามเย็นชมพระอาทิตย์ตก พอค่ำหน่อยก็ดริ๊งค์แอนด์แดนซ์ใต้แสงจันทร์ โอ๊ย! มันส์หยดติ๋งจนลืมเวลากลับเลยล่ะคะ
- อ่าววงเดือน คึกคักไม่แพ้ หาดทรายแก้ว เพียงแต่อ่าวนี้ยังพอมีมุมสงบ ให้ผู้ที่มีโลกส่วนตัวสูงปลีกวิเวกไปทางด้านหัวอ่าวได้ ส่วนชาวแก๊งค์ที่รักความสนุกสนาน ไปรวมตัวกันที่กลางอ่าวได้เลย
-หาดคลองพร้าว ลักษณะหาดกว้างเป็นครึ่งวงกลม เหมาะสำหรับนั่งชมพระอาทิตย์ตก และที่สำคัญบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับผู้คนที่อยากหลบหนีความวุ่นวายดีนัก ส่วนชายหาดที่นี่จะกว้างมากชวนเพื่อนฝูงเล่นกีฬาริมหาดได้สบาย
- อ่าวช่อ/อ่าวทานตะวัน อ่าวช่อ และอ่าวทานตะวัน มีโค้งอ่าวที่ติดต่อกัน ทั้ง 2 อ่าวเหมาะที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อย่างแท้จริง ผู้คนไม่พลุกพล่าน หาดทรายขาว และสวยงาม ลงตัวดีกับวันพักผ่อนของคุณ
-อ่าวทับทิม เป็นอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนฟังเสียงคลื่นเป็นที่สุด
-อ่าวแสงเทียน เป็นอ่าวที่รักษาความเป็นธรรมชาติไว้ได้มากที่สุด ฉะนั้นถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยว ประเภทกินลมชมวิว นอนนับดาวแล้วละก็ อ่าวแสงเทียน เป็นอีกอ่าวหนึ่ง ที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
-อ่าวหวาย อ่าวหวายค่อนข้างไกลจากหัวเกาะ เรียกว่ายังคงความสวยงามในแบบธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่รักสงบ และต้องการความเป็นส่วนตัวม๊ากมาก ต้องมาที่อ่าวหวายเท่านั้นค่ะ
-อ่าวกิ่วหน้านอก พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างแท้จริง เพียงคุณชอบสัมผัสหาดทรายขาวละเอียด ไม่ต้องเบียดเสียดผู้คน พร้อมนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สำคัญใช้เวลาเดินไม่นาน ระยะทางประมาณ 100 เมตรก็จะถึงจุดชมวิว ที่อ่าวกิ่วหน้าใน ที่นี่ถือเป็นแหล่งดื่มกินบรรยากาศที่ดีทีเดียว
-อ่าวกะรัง เหมาะสำหรับลงเล่นน้ำ และชมประการังได้ และยิ่งในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค.(ปะการัง แค้มปิ้ง) คุณจะได้พบกับนักตกปลามากหน้าหลายตา เพราะพวกเขาแห่กันมาชมปลาอินทรีย์ที่เยอะที่สุด
-อ่าวน้อยหน่า ถึงแม้อยู่ใกล้กับหาดทรายแก้ว แต่บรรยากาศนั้นต่างกันสุดขั้ว (ประมาณว่าอยู่ป่ากับรัชดาซ.4..หุหุ) เรียกว่าใครที่ชอบความเงียบสงบ รักการอ่าน อยากอาบแสงแดดเคล้าน้ำทะเล บริเวณนี้มีพร้อมสรรพรอเพียงคุณหิ้วกระเป๋ามาเท่านั้น
-อ่าวลูกโยน เป็นอีกหนึ่งอ่าวของเหล่าพลพรรครักสงบ เพราะที่นั่นผู้คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศแถบนั้นก็ชิลล์สุดๆ ถ้าคุณชอบความเงียบสงัดล่ะก็ อ่าวลูกโยนเค้าจัด...ด...ดให้
-อ่าวไผ่ อยู่ใกล้ชิดติดกับหาดทรายแก้ว มีเพียงโขดหินบางๆ คั่นอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนมาก จะเหมาเดินเที่ยวหาดทรายแก้ว ไล่ไปจนถึง อ่าวไผ่ ในบริเวณโขดหิน มีวิวสวยงาม เหมาะกับการอาบแดด ถ่ายรูป ฯลฯ มีข้อแนะนำนิดนึงสำหรับผู้ที่ลงเล่นน้ำ ห้ามย่างกรายไปบริเวณที่มีธงสีแดงปักอยู่เป็นอันขาด เพราะตรงนั้นเป็นจุดน้ำวนค่ะ
-อ่าวนวล เป็นอ่าวเล็กๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสมถะ เรียบง่าย เพราะที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก
-อ่าวขาม เป็นอ่าวหิน ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา นอกจากจะนั่งเรือผ่านมาขึ้นทางอ่าวพร้าว ลักษณะภูมิประเทศ ของอ่าวขาม คล้ายๆ กับแหลมเรือแตก
การเดินทาง
ผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว มีหลายเส้นทางให้เลือกดังนี้
- เส้นทางแรก ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบางปู อำเภอบางปะกง จังหวัดชลบุรี บางแสน ศรีราชา พัทยา หาดจอมเทียน สัตหีบ อำเภอบ้านฉาง ไปจนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร
- เส้นทางที่ 2 ทางหลวงหมายเลข 34 (ถนนบางนา-ตราด) เริ่มจากตรงจุดสิ้นสุดทางด่วนด่านเฉลิมนคร อำเภอบางนา ผ่านอำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 ที่กิโลเมตรที่ 70 อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังจากนั้นก็จะผ่านเส้นทางเดียวกันกับเส้นทางที่ 1 รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร
- เส้นทางที่ 3 ทางหลวงหมายเลข 36 (บายพาส 36) จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ 2 จนถึงกิโลเมตรที่ 140 อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 36 จากนั้นให้เดินทางต่อไปยังจังหวัดระยองด้วยระยะทาง 70 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 210 กิโลเมตร
- เส้นทางที่ 4 ทางหลวงหมายเลข 7 (สายมอเตอร์เวย์) เริ่มจากถนนพัฒนาการ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดที่ จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 75 กิโลเมตร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 36 เป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร จนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 175 กิโลเมตร
และผู้ที่ใช้บริการรถสาธารณะ มีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ไปยังตัวจังหวัดระยอง และอำเภอต่างๆ ในจังหวัดหลายเส้นทาง ได้แก่
- สายกรุงเทพฯ - ระยอง, บ้านเพ, แกลง, แหลมแม่พิมพ์, มาบตาพุด, ประแสร์ เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2391 2504
- สถานีเดินรถโดยสาร จังหวัดระยอง โทร. 0 3861 137 9
การเดินทางไปเกาะ จะมีเรือจากท่าเรือบ้านเพ บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ค่าโดยสารระหว่างบ้านเพ-เกาะเสม็ด (ไป-กลับ 100 บาท/ท่าน) ใช้เวลาเดินเรือประมาณ 40 นาที ส่วนเรือ speed boat อยู่ที่คนละ 250 บาทหรือเหมาลำประมาณ 1,500 - 2,600 บาท
การเดินทางบนเกาะ มีถนนเพียงสายเดียว เป็นทั้งถนนคอนกรีตและถนนดิน และบนเกาะก็มีรถสองแถว(TAXI) บริการไปตามหาดต่าง ๆ ค่ารถประมาณ 10-500 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง หากต้องการจะเหมาเที่ยวทั้งเกาะราคาประมาณ 800 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยและสนใจมอเตอร์ไซต์เช่า ราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท
อ๊ะๆ.. จะมัวนั่งทนร้อน นอนอยู่บ้านกันไปทำไม ลุกขึ้นมาฮาเฮ ชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจ ไปใช้เวลาในวันหยุดยาว ด้วยการดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเลที่ เกาะเสม็ด กันดีกว่า ..... แล้วเจอกันนะจ๊ะ!
ดาวน์โหลดที่นี่